|
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสพระราชทานแก่ป ระชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2555 ความว่า "ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดี มาอวยพรแก่ท่านทุก ๆ คน และขอขอบใจท่านเป็นอย่างมาก ที่ร่วมกันจัดงานฉลองอายุคร บ 7 รอบให้อย่างเหมาะสมงดงาม ระหว่างปีที่แล้วเหตุการณ์ต ่าง ๆ ในบ้านเมืองนับว่าเป็นปรกติ ดี แต่พอเข้าปลายปี ก็เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ เป็นเหตุให้ประชาชนหลายจังห วัดต้องประสบอันตรายและความ เดือดร้อน ลำบาก ความเสียหายครั้งนี้ดูจะร้า ยแรงกว่าครั้งไหน ๆ ที่ผ่านมา ข้อนี้น่าจะเป็นเครื่องเตือ นใจอย่างสำคัญดังที่ข้าพเจ้ าได้กล่าวไว้หลายครั้งแล้วว ่า วิถีชีวิตของคนเรานั้น จะต้องมีทุกข์ มีภัย มีอุปสรรค ผ่านเข้ามาเนือง ๆ ไม่มีผู้ใดจะอยู่เป็นปรกติส ุขอย่างเดียวได้ ทุกคนจึงต้องเตรียมกาย เตรียมใจ และเตรียมการไว้ให้พร้อมเสม อ เพื่อเผชิญและป้องกันแก้ไขค วามไม่ปรกติเดือดร้อนต่าง ๆ ด้วยความไม่ประมาท ด้วยเหตุผล ด้วยหลักวิชา และด้วยสามัคคีธรรม ในปีใหม่นี้จึงขอให้ประชาชน ชาวไทยได้ตั้งตนอยู่ด้วยควา มไม่ประมาท โดยมีสติ รู้ตัว และปัญญา รู้ผิด กำกับอยู่ตลอดเวลา ผู้ใดที่มีภาระหน้าที่อันใด ก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วง กันไป ให้ทันการณ์ทันเวลา ผลงานทั้งนั้นจะได้ส่งเสริม ให้แต่ละคนประสบแต่ความสุข ความเจริญ และทำให้ชาติบ้านเมืองดำรงม ั่นคงและก้าวหน้าต่อไป ด้วยความผาสุกสวัสดี ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตน ตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ งหลาย จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให ้มีความสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีภัย ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน" |
|
|
|
|
ดาว์โหลด เว็บบราวเซอร์ ที่ใช้ท่องความเร็วในการเล่นอินเตอร์เน็ตที่ดีที่สุดในการเข้าชมเว็บไซต์ของทางสถานี อาร์ ทีวี วัน |
|
เพื่อความสมบูรณ์ในการนำเสนอของ www.rtv1.net
กรุณาติดตั้งโปรแกรมเสริม Adobe Flash สำหรับแสดงผลข้อมูลในรูปแบบมัลติมีเดีย และ Apple Quictime สำหรับแสดงผลข้อมูลในรูปแบบ Quicktime VR
|
|
การแสดงหน้าเว็ปที่เหมาะสมควรใช้Google Chrome |
RTV1 STATION THAILAND |
|
|
|
|
|
ข่าวการเมืองไทยติด 10 อันดับ ติดกระแส อัพเดดตลอด 24 ชั่วโมง |
|
ข่าวด่วน สถานการณ์ร้อนๆ
ที่เกิดขึ้นทั่วไทย ทั่วโลก อัปเดตทุก24 ชม.ให้คุณทันเหตุการณ์โลกทุกๆวัน.
โดยทีม ข่าวพิราบขาว
|
|
|
|
ขอขอบคุณสำนักข่าวทุกสำนัก และ ช่างภาพทุกท่าน ทีมข่าว อาร์ ทีวี วัน |
|
อ่านข่าวเด่นประเด็นร้อน ข่าวด่วน สถานการณ์ร้อนๆ ที่เกิดขึ้นทั่วไทย ทั่วโลก อัปเดตทุก24 ชม.ให้คุณทันเหตุการณ์โลกทุกๆวัน
|
|
"เด็กมีปัญหา" ... คำนี้แรงมั้ย "ไม่รู้" แล้วแต่นิยามของแต่ละคน
ผู้ใหญ่มีปัญหามั้ย "มี" แล้วทำไมเด็กจะมีปัญหาบ้างไม่ได้ ?
เด็กก็มีปัญหาแบบเด็ก ผู้ใหญ่ก็มีปัญหาแบบผู้ใหญ่ |
คนไทยยุคนี่สมัยนี้ดูจะเลี้ยงกันยากปกครองกันยาก ขาดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทั้งๆที่สาเหตุที่แท้จริงแล้วเราทำผิดกันมาแต่แรก เพราะดันไปสร้างที่อยู่อาศัยหรือสร้างโรงงานต่างๆกันในท้องทุ่งที่เป็นพื้นที่การเกษตร ซึ่งเป็นทางน้ำไหลผ่าน
แล้วอนาคตประเทศชาติจะปกครองกันอย่างไร ปิดถนน รื้อคันกั้นน้ำ ทุบรถ ชกต่อยเจ้าหน้าที่ จนกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไทยไปเสียแล้ว ทั้งที่เป็นเรื่องผิดกฏหมาย และไม่ควรจะมีความรู้สึกเช่นนี้อยู่ในจิตใจ
ฟังพระราชดำรัสของในหลวงเมื่อปี2538 ที่เกิดวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ ท่านทรงแนะนำไว้หลายเรื่อง โดยเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเรื่องน้ำทุกหน่วยงานรวมทั้ง กทม. มานั่งประชุมให้รีบแก้ปัญหาในอนาคต ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดความหายนะกันทั้งประเทศ
ท่านทรงแนะนำแม้กระทั่งการเวณคืนที่ดินโดยให้รัฐบาลจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ลุ่มหรือ Green Belt หรือผู้ที่เข้าไปบุกรุกที่ดินของทางการก็ให้รัฐบาลรีบจัดการทางกฏหมาย หากยังดื้ออยู่ท่านยังบอกว่า "ให้กรวดน้ำส่งไปให้ "
หลังจากการประชุมนี้ผ่านไปแล้วก็ไม่มีรัฐบาลชุดไหนสนองพระราชดำริหรือรับไปดำเนินการ ส่วนบรรดาข้าราชการระดับหัวกระทิที่ร่วมประชุม ก็กลับเข้ากรมกองกันตามปกติ สรุปว่าสิ่งที่ในหลวงทรงชี้แนะในครั้งนั้นไม่มีผลใดๆ
ในทางปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย
ผ่านไป 16 ปี ความหายนะจึงเกิดขึ้นกับพื้นที่กรุงเทพมหานครและเขตปริมณฑลไม่ต่างกับถูกพระเจ้าลงโทษ หรือเป็นไปตามกฏแห่งกรรม
และหากฟังเทปให้ตลอดแล้วจะเห็นว่าท่านตรัสครอบคลุมหมดไว้ทุกเรื่อง แม้กระทั่งโรงงานอุตสาหกรรมที่สร้างในพื้นที่การเกษตร รวมทั้งหาทางออกให้กับรัฐบาลที่จะต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาล นับหมื่นหรือนับแสนล้าน
ใครฟังเทปนี้แล้วคงต้องอึ้ง เหมือนกับว่าท่านอ่านอนาคตของประเทศในเรื่องน้ำได้อย่างทะลุปรุโปรง แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยเช่นการกระทบกระทั่งของคนในพื้นที่ ท่านทรงกล่าวว่าอาจจะเกิดขึ้น
สรุปว่าทุกเรื่องทุกปัญหาของวิกฤติน้ำท่วมในครั้งนี้ อยู่ในพระราชดำริที่เคยรับสั่งไว้เมื่อ 16 ปี ที่แล้ว หากรัฐบาลที่ผ่านๆมาได้จัดการปัญหาต่างๆเพียงแค่เศษเสี้ยวในพระราชดำริของพระองค์ ความหายนะ
ก็คงไม่เกิดขึ้นมากมายเท่านี้
โดยปลายปากกาสีเงิน
|
|
|
|
พาไปดู “พระเมรุ” แฝงไว้ในปรัชญา
วัฒนรักษ์
“พระเมรุ”อันเนื่องมาจากควา มตาย
ท่านผู้อ่านคงจะทราบกันดีแล ้วว่าในวันจันทร์ที่ 9 เมษายนที่จะถึงนี้ จะมีพระราชพิธีสำคัญอีกครั้ งหนึ่ง นั่นก็คืองานพระราชพิธีพระร าชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชสุดา สิริโสภาภัณณวดี ซึ่งระหว่างนี้การเตรียมการ ณ์ทุกด้านก็เข้ารูปเข้ารอยเ รียบร้อยแล้ว รวมทั้งอาคารสำคัญ คือ “พระเมรุ” ที่ท้องสนามหลวงด้วย
เรื่องของ “พระเมรุ” นี้มีท่านผู้อ่านหลายท่านสง สัยว่ามีความแตกต่างไปจาก “พระเมรุมาศ” และ “เมรุ” ที่เห็นกันอยู่ทั่วไปหรือไม ่ ถ้าหากมีความแตกต่างกัน ก็ต้องการที่จะรู้ว่าแตกต่า งกันอย่างไร ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่จะน ่าจะนำมาขยายให้เข้าใจกันอย ู่ไม่น้อย
...ดูเพิ่มเติม
|
|
|
ส่งเสด็จสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรร ัตน์
ดร.วิษณุ เครืองาม
ธรรมเนียมทำศพคนตายเพื่อส่ง วิญญาณมีหลายแบบ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใดล้วนผู กติดอยู่กับความเชื่อทางศาส นา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีทั้งสิ้ น เช่น เกี่ยวพันไปถึงชีวิตหลังควา มตาย ตายแล้วไปไหน ชาวอินเดียมีคตินิยมเผาศพมา แต่โบราณ เผาแล้วก็ลอยกระดูกลอยเถ้าถ ่านลงในแม่น้ำคงคา เรียกว่า “ลอยอังคาร” ต่อเมื่อเป็นศพคนสำคัญจึงจะ แบ่งเอากระดูกหรืออัฐิบางส่...ดูเพิ่มเติม
|
|
|
พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู ในหลวงของเรา
ขอขอบคุณบทความโดย พ.อ.(พิเศษ)ทองคำ ศรีโยธิน
ลูก ๆ ทุกคน… ก็ได้รู้กันแล้วว่า ความหวังของแม่ ที่มีต่อลูก 3 หวังคือ
ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้
ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา
หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ
ที่นี้… มาดูตัวอย่างบ้าง…บุคคลที่เป็นยอดกตัญญู ที่ประทับใจอาจารย์มากที่สุด คือใคร ทราบไหม? คือคนในภาพนี้… ในหลวงของเรา…
ในหลวง… นอกจาก จะเป็นยอดพระมหากษัตริย์ของโลก… เป็นTHE KING OF KINGS แล้ว ในหลวง ของเรา ยังเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูด้วย ความหวังของแม่…
ทั้ง 3 หวัง ในหลวงปฎิบัติได้ครบถ้วน…สมบูรณ์ เป็น ตัวอย่างที่ดีที่สุดให้แก่พวกเรา ในหลวงทำกับแม่ยังไง? ตามอาจารย์มา…อาจารย์ จะฉายภาพให้เห็น
หวังที่ 1. ยามแก่เฒ่า..หวังเจ้า…เฝ้ารับใช้… ใครเคยเห็นภาพที่… สมเด็จย่า เสด็จไปในที่ต่าง ๆ แล้วมีในหลวง… ประคองเดินไปตลอดทาง… เคยเห็น ไหม…? ใครเคยเห็น…กรุณายกมือให้ดูหน่อย… ขอบคุณ…เอามือลง
ตอนสมเด็จย่าเสด็จไปไหนเนี่ย…มีคนเยอะแยะ… มีทหาร… มีองครักษ์…มีพยาบาล… ที่คอยประคองสมเด็จย่าอยู่แล้ว แต่ในหลวงบอกว่า…
“ไม่ต้อง…คนนี้…เป็นแม่เรา…เราประคองเอง”
ตอนเล็ก ๆ แม่ประคองเรา… สอนเราเดิน หัดให้เราเดิน…เพราะฉะนั้น ตอนนี้แม่แก่แล้ว… เราต้องประคองแม่เดิน เพื่อเทิดพระคุณท่าน…ไม่ต้องอายใคร… เป็นภาพที่…ประทับใจมาก… เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านกตัญญูต่อแม่… ประคองแม่เดิน ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ… สองข้างทาง ฝั่งนี้ 5,000 คน ฝั่งนู้น… 8,000 คน ยกมือขึ้น…สาธุ แซ่ซ้อง…สรรเสริญ
“กษัตริย์ยอดกตัญญู”
ในหลวง…เดินประคองแม่… คนเห็นแล้ว… เขาประทับใจ ถ่ายรูป…เอามาทำปฎิทิน …เอาไปติดไว้ที่บ้าน เพื่อแสดงความเคารพ…กราบไหว้…
ลองหันมาดูพวกเรา…ส่วนใหญ่ เวลาออกไปไหน แต่งตัวโก้…ลูกชาย… แต่งตัวโก้…ลูกสาว…แต่งตัวสวย… แต่เวลาเดิน…ไม่มีใครประคองแม่… กลัวไม่โก้… กลัวไม่สวย… ข้าราชการ…แต่งเครื่องแบบเต็มยศ… ติดเหรียญตรา…เหรียญกล้าหาญ… เต็มหน้าอก… แต่เวลาเดิน…ไม่กล้าประคองแม่… กลัวไม่สง่า…กลัวเสียศักดิ์ศรี… ประคองแม่…เป็นเรื่องของ…คนใช้…หลายคน…ให้ประคองแม่…ไม่กล้าทำ อาย… เวลาทำดี…ไม่กล้าทำ…อาย, เวลาทำชั่ว…กล้า…ไม่อาย…ใครเห็นภาพนี้ ที่ไหน…กรุณาซื้อใส่กรอบ…แล้วเอาไปแขวนไว้ที่บ้าน… เอาไว้สอนลูก เห็นภาพ ชัดเจนไหมครับ? เท่านั้น …ยังน้อยไป…มาดูภาพที่ชัดเจนกว่านั้น…
หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่า…เสร็จสิ้นลงแล้ว ราชเลขา… ของสมเด็จย่า… มาแถลงในที่ประชุม…ต่อหน้าสื่อมวลชน…ว่า… ก่อนสมเด็จย่า จะสิ้นพระชนม์ปีเศษ ตอนนั้นอายุ 93 ในหลวง…เสด็จจากวังสวนจิตร… ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน ไปทำไมครับ…? ไปกินข้าวกับแม่ ไปคุยกับแม่…ไปทำให้แม่…ชุ่มชื่น หัวใจ… พอเขาแถลงถึงตรงนี้ อาจารย์ตกตะลึง…
โอ้โห!…ขนาดนี้เชียวหรือในหลวงของเรา เสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่… สัปดาห์ละกี่วัน…ทราบไหมครับ? พวกเราทราบไหมครับ…สัปดาห์ละกี่วัน?… 5 วัน มีใครบ้างครับ…? ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่…สัปดาห์ละ 5 วัน หายาก…..
ในหลวง มีโครงการเป็นร้อย… เป็นพันโครงการ… มีเวลาไปกินข้าว กับแม่… สัปดาห์ละ 5 วัน พวกเรา ซี 7 ซี 8 ซี 9 ร้อยเอก…พลตรี…อธิบดี… ปลัดกระทรวง…ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่… บอกว่า…งานยุ่ง แม่บอกว่า… ให้พาไปกินข้าวหน่อย… บอกว่าไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ… ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว… แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ…เห็นตัวเองหรือยัง…?
พ่อแม่…พอแก่แล้ว ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง …ฝนตก…น้ำเซาะ…อีกไม่นานก็โค่น… พอถึงวันนั้น… เราก็ไม่มีแม่ให้กราบแล้ว… ในหลวงจึงตัดสินพระทัย…ไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน เมื่อตอนที่ สมเด็จย่าอายุ…93 สัปดาห์หนึ่งมี 7 วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่ 5 วัน อีก 2 วันไปไหน ครับ…? ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์…องคมนตรี บอกว่า… ในหลวงถือศีล 8 วันพระ …ถือศีล 8 นี่ยังไง…? ต้องงดข้าวเย็น… เลยไม่ได้ไปหาแม่… วันนี้เพราะถือศีล อีกวันหนึ่งที่เหลือ… อาจจะกินข้าวกับ พระราชินี…กับคนใกล้ชิด แต่ 5 วัน… ให้แม่ เห็นภาพชัดแล้วใช่ไหม…?
ตอนนี้เราขยับเข้าไปใกล้ ๆ หน่อย ไปดูตอนกินข้าว…ทุกครั้ง…ที่ในหลวง ไปหาสมเด็จย่า…ในหลวงต้องเข้าไปกราบ ที่ตัก…แล้วสมเด็จย่า…ก็จะดึงตัวในหลวง… เข้ามากอด… กอดเสร็จก็หอมแก้ม… ใครเคยเห็นภาพสมเด็จย่า…หอมแก้มในหลวงบ้าง…?
ภาพนี้…ถ้าใครมี… ต้องเอาไปใส่กรอบ เป็นภาพความรักของแม่…ที่มีต่อลูก…อย่างยอดเยี่ยม ตอนสมเด็จย่า…หอมแก้มในหลวง… อาจารย์คิดว่า แก้มในหลวง…คงไม่หอมเท่าไร…เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม แต่ทำไม… สมเด็จย่าหอมแล้ว…ชื่นใจ… เพราะ ท่านได้กลิ่นหอม… จากหัวใจในหลวง หอมกลิ่นกตัญญ
ไม่นึกเลยว่า…ลูกคนนี้ จะกตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้
ตัวแม่เองคือ สมเด็จย่า…ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนธรรมดา…สามัญชน …เป็นเด็กหญิงสังวาลย์ เกิดหลังวัดอนงค์… เหมือนเด็กหญิงทั่วไป… เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้
ในหลวงหน่ะ…เกิดมาเป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า ปัจจุบันเป็นกษัตริย์…เป็น พระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว
แต่ในหลวง… ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน… ก้มลงกราบ…คนธรรมดา… ที่เป็นแม่ หัวใจลูก… ที่เคารพแม่… กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว…
คนบางคน… พอเป็นใหญ่เป็นโต ไม่กล้าไหว้แม่… เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ…เป็นชาวนา… เป็น ลูกจ้าง… ไม่เคารพแม่…ดูถูกแม่
แต่นี่…ในหลวง เทิดแม่ไว้เหนือหัว… นี่แหละครับความหอม
นี่คือเหตุที่สมเด็จย่า…หอมแก้มในหลวงทุกครั้ง… ท่านหอมความดี… หอมคุณธรรม…หอมกตัญญู… ของในหลวง หอมแก้มเสร็จแล้ว…ก็ร่วมโต๊ะเสวย …
ตอนกินข้าวนี่…ปกติ.. .แค่เห็นลูกมาเยี่ยม…ก็ชื่นใจแล้ว…
นี่ลูกมากินข้าวด้วย…โอย…ยิ่งปลื้มใจ
แม่ทั้งหลาย…ลองคิดดูซิ…อะไรอร่อย ๆ ในหลวงจะตักใส่ช้อนแม่…อันนี้ อร่อย…แม่ลองทาน… รู้ว่าแม่ชอบทานผัก… หยิบผักมาม้วน ๆ ใส่ช้อนแม่… เอ้าแม่ …แม่ทานซะ…ของที่แม่ชอบ แทนที่จะกินแค่ 3 คำ 4 คำ ก็เจริญอาหาร…กินได้เยอะ เพราะมีความสุขที่ได้กินข้าวกับลูก มีความสุขที่ลูกดูแล…เอาใจใส่…
กินข้าวเสร็จแล้ว…ก็มานั่งคุยกับแม่… ในหลวงดำรัสกับแม่ว่าไง… ทราบไหม…? ตอนในหลวงเล็ก ๆ…แม่เคยสอนอะไรที่สำคัญ…“อยากฟังแม่สอนอีก” เป็นยังไงบ้าง…?
เป็นกษัตริย์…ปกครองประเทศ… อยากฟังแม่สอนอีก… พวกเรา เป็นยังไง…? เราคิดว่า…เรารู้มาก …เราเรียนสูง…เรามีปริญญา… แม่จบ ป.4 เวลาแม่สอน…ตะคอกแม่ ตวาดแม่ กระทืบเท้าใส่แม่ เบื่อจะตายอยู่แล้ว… รำคาญ…พูดจาซ้ำซาก… เมื่อไหร่จะหยุดพูดซะที… เราเหยียบย่ำ หัวใจแม่…
สมเด็จย่าสอน…ในหลวงจะเอากระดาษมาจด… มีอยู่เรื่องหนึ่ง… ที่จำได้แม่น… สมเด็จย่า…เล่าว่า ตอนเรียนหนังสือที่ Swiss ในหลวงยังเล็กอยู่ …เข้ามาบอกว่า…อยากได้รถจักรยาน เพื่อน ๆ เขามีจักรยานกัน
แม่บอกว่า “ลูกอยากได้จักรยาน… ลูกก็เก็บสตางค์… ที่แม่ให้ไปกินที่ โรงเรียนไว้ซิ” …เก็บมาหยอดกระปุก… วันละเหรียญ…สองเหรียญ พอได้มากพอ… ก็เอาไปซื้อจักรยาน…
นี่คือสิ่งที่แม่สอน…แม่สอนอะไร…ทราบไหมครับ…?
ถ้าเป็นพ่อแม่บางคน…พอลูกขอ…รีบกดปุ่ม ATM ให้เลย ประเคนให้เลย… ลูกก็ ฟุ้งเฟ้อ… ฟุ่มเฟือย… เหลิง… และหลงตัวเอง
พอโตขึ้น…ขับรถเบนซ์ชนตำรวจ…ก็ได้… ยิงตำรวจ…ยังได้… เพราะหลงตัวเอง… พ่อตนใหญ่ เห็นไหม…? ตามใจ เทิดทูน จนเสียคน…
แต่สมเด็จย่านี่…เป็นยอดคุณแม่… สร้างคุณธรรมให้แก่ลูก…ลูกอยากได้ …ลูกต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้… ไปหย่อนกระปุก… แม่สอน 2 เรื่อง คือ…ให้ประหยัด…ให้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง
“ความประหยัด…เป็นสมบัติของเศรษฐี” ใครสอนลูกให้ประหยัดได้… คนนั้นกำลังมอบความเป็นเศรษฐีให้แก่ลูก
พอถึงวันปีใหม่… สมเด็จย่าก็บอกว่า… “ปีใหม่แล้ว…เราไปซื้อจักรยานกัน…” “เอ้า…แคะกระปุก…ดูซิมีเงินเท่าไหร่…?” เสร็จแล้ว…สมเด็จย่าก็แถมให้… ส่วนที่ แถมนะ… มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก…
มีเมตตา…ให้เงินลูก… ให้…ไม่ได้ให้เปล่า… สอนลูกด้วย…สอนให้ประหยัด สอนว่า…อยากได้อะไร… ต้องเริ่มจากตัวเรา… คำสอนนั้น…ติดตัวในหลวงมาจน ทุกวันนี้…
เขาบอกว่า…ในสวนจิตรเนี่ย… คนที่ประหยัดที่สุด…คือ…ในหลวง… ประหยัดที่สุด… ทั้งน้ำ…ทั้งไฟ… เรื่องฟุ้งเฟ้อ…ฟุ่มเฟือย..ไม่มี …เป็นอันว่า… ภาพนี้ชัดเจน…
หวังที่ 2. ยามป่วยไข้… หวังเจ้า… เฝ้ารักษา ดูว่าในหลวง ทำกับ แม่ยังไง…? สมเด็จย่า…ประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช… ในหลวงไปเยี่ยม… ตอนไหนครับ…? ไปเยี่ยมตอน ตี 1 ตี 2 ตี 4 เศษ ๆ…จึงเสด็จกลับ… ไปเฝ้าแม่วันละ หลายชั่วโมง…
แม่…พอเห็นลูกมาเยี่ยม…ก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ทีมแพทย์ที่รักษาสมเด็จย่า… เห็นในหลวงมาเยี่ยม มาประทับ ก็ต้องฟิต …ตามไปด้วย ต้องปรึกษาหารือกันตลอดเวลาว่า… จะให้ยายังไง…จะเปลี่ยนยาไหม…? จะปรับปรุงการรักษายังไง…ให้ดีขึ้น… ทำให้สมเด็จย่า… ได้รับการดูแลที่ดีขึ้น… เห็นภาพไหม…?
กลางคืน…ในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่า…คืนละหลายชั่วโมง…ไปให้ความ อบอุ่นทุกคืน ลองหันมาดูตัวเราเองซิ… ตอนพ่อแม่ป่วย… โผล่หน้าเข้าไปดูหน่อยนึง ถามว่า…ตอนนี้…อาการเป็นยังไง…? พ่อแม่…ยังไม่ทันตอบเลย ฉันมีธุระ งานยุ่ง ต้องไปแล้ว…โผล่หน้าไปให้เห็น พอแค่เป็นมารยาท… แล้วก็กลับ… เราไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู… เราไม่ได้ไปเพื่อ ทดแทนพระคุณท่าน…น่าอายไหม…?
ในหลวง…เสด็จไปประทับกับแม่… ตอนแม่ป่วย…ไปทุกวัน… ไปให้ความ อบอุ่น…ประทับอยู่วันละหลายชั่วโมง… นี่คือ…สิ่งที่ในหลวงทำ
คราวหนึ่ง…ในหลวงป่วย… สมเด็จย่า…ก็ป่วย … ไปอยู่ศิริราช…ด้วยกัน …อยู่คนละมุมตึก… ตอนเช้า… ในหลวงเปิดประตู….แอ๊ด…..ออกมา… พยาบาลกำลัง เข็นรถสมเด็จย่า… ออกมารับลมผ่านหน้าห้องพอดี ในหลวง…พอเห็นแม่… รีบออกจากห้อง… มาแย่งพยาบาลเข็นรถ มหาดเล็ก …กราบทูลว่า ไม่เป็นไร…ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว ในหลวงมีรับสั่งว่า…
“แม่ของเรา…ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น…เราเข็นเองได้…”
นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน… เป็นกษัตริย์… ยังมาเดินเข็นรถให้แม่ ยังมาป้อนข้าว…ป้อนน้ำให้แม่… ป้อนยาให้แม่ ให้ความอบอุ่นแก่แม่… เลี้ยงหัวใจ แม่… ยอดเยี่ยมจริง ๆ … เห็นภาพนี้แล้ว….ซาบซึ้ง
มาตามดูต่อ….
หวังที่ 3. เมื่อถึงยาม…ต้องตาย…วายชีวา …หวังลูกช่วย….ปิดตา …เมื่อสิ้นใจ วันนั้น…ในหลวง…เฝ้าสมเด็จย่า อยู่จนถึงตี 4 ตี 5 เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน… จับมือแม่…กอดแม่…ปรนนิบัติแม่… จนกระทั่ง…”แม่หลับ…” จึงเสด็จกลับ
พอถึงวัง… เขาโทรศัพท์มาบอกว่า… สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์… ในหลวง…รีบเสด็จกลับไป…ศิริราช… เห็นสมเด็จย่านอนหลับตาอยู่บนเตียง… ในหลวง ทำยังไงครับ…?
ในหลวงตรงเข้าไป… คุกเข่า…กราบลงที่หน้าอกแม่… พระพักตร์ในหลวง…ตรงกับหัวใจแม่… “ขอหอมหัวใจแม่…เป็นครั้ง สุดท้าย…” ซบหน้านิ่ง…อยู่นาน… แล้วค่อย ๆ เงยพระพักตร์ขึ้น…. น้ำพระเนตรไหลนอง….
ต่อไปนี้… จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว… เอามือ…กุมมือแม่ไว้ มือนิ่ม ๆ …..ที่ ไกวเปลนี้แหละ ที่ปั้นลูก…จนได้เป็นกษัตริย์… เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง…ชีวิตลูก….แม่ปั้น…
มองเห็นหวี… ปักอยู่ที่ผมแม่… ในหลวงจับหวี…ค่อย ๆ หวีผมให้แม่…หวี… หวี…หวี…. หวีให้แม่สวยที่สุด… แต่งตัวให้แม่…ให้แม่สวยที่สุด… ในวันสุดท้าย ของแม่….
เป็นภาพที่ประทับใจอาจารย์เป็นที่สุด… เป็นสุดยอดของลูกกตัญญู…. หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว…..
กษัตริย์…..ยอดกตัญญู
ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ
|
|
|
“ครองใจคน” หลากหลายเหตุผลที่คนไทยรัก “ในหลวง”
“…. ผมเคยอยู่มาแล้วหลายแผ่นดิน แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินใดที่คนทั้งเมืองเขาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ให้ความเคารพบูชาอย่างสนิทสนมอย่างทุกวันนี้… พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อน ๆ ทรงครองแผ่นดิน แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลนี้ทรง “ครองใจคน..”
“เดิมพันของเรานั้นสูง”
ครั้งหนึ่ง เมื่อหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า “เคยทรงเหนื่อย ทรงท้อบ้างหรือไม่” ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสตอบว่า “ความ จริงมันน่าท้อถอยหรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านคือเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ”
“ราษฎรยังอยู่ได้”
ปีพุทธศักราช 2513 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนินไป เยี่ยมราษฎรในตำบลหนึ่งของอำเภอเมืองพัทลุง อันเป็นแหล่งที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ปฏิบัติการรุนแรงที่สุดในภาคใต้ เวลานั้น ด้วยความห่วงใยอย่างยิ่งล้น ทางกระทรวงมหาดไทยได้กราบบังคมทูลขอให้ทรงรอให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าที่เป็น อยู่เสียก่อน แต่คำตอบที่ทางกระทรวงมหาดไทยได้รับก็คือ “ราษฎรเขาเสี่ยง ภัยยิ่งกว่าเราหลายเท่า เพราะเขาต้องกินอยู่ที่นั่นเขายังอยู่ได้ แล้วเราจะขลาดแม้แต่จะไปเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของเขาเชียวหรือ… คนเราจะอยู่สุขสบายแต่คนเดียวไม่ได้ ถ้าคนที่อยู่ล้อมรอบมีความทุกข์ยาก ควรต้องแบ่งเบาความทุกข์ยากของเขาบ้าง ตามกำลังและความสามารถเท่าที่จะทำได้!”
ข้อมูลจากคำอภิปรายเรื่อง “พระบิดาประชาชน”
“ดอกไม้จากหัวใจ”
ที่นครพนม บนเส้นทางรับเสด็จตรงสามแยกชยางกูร-เรณูนคร บายวันที่ 13 พ.ย. 2498 อาณัติ บุนนาค หัวหน้าส่วนช่างภาพประจำพระองค์ ได้บันทึกภาพในวินาทีสำคัญที่กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งของประเทศ ภาพที่พูดได้มากกว่าคำพูดหนึ่งล้านคำ
วันนั้น หลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารเสร็จสิ้นในช่วงเช้าแล้ว ทั้ง 2 พระองค์ได้เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งกลับไปประทับแรม ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ราษฎรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูก จูงหลานหอบกันมารับเสด็จที่ริมถนนอย่างเนืองแน่น ดังเช่นครอบครัว จันท์นิตย์ ที่ลูกหลายช่วยกันนำ แม่ตุ้ม จันทนิตย์ วัย 102 ปี ไปรอรับเสด็จ ณ จุดรับเสด็จห่างจากบ้าน 700 เมตร โดยลูกหลานได้จัดหาดอกบัวสายสีชมพูให้แม่เฒ่าจำนวน 3 ดอก และพาออกไปรอที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด
เปลวแดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนสาย เที่ยงจนบ่าย แผดเผาจนดอกบัวสายในมือเหี่ยวโรย แต่หัวใจรักภักดีของหญิงชรายังเบิกบาน เมื่อเสด็จฯ มาถึงตรงหน้า แม่เฒ่าได้ยกดอกบัวสายโรยราสามดอกนั้นขึ้นจบเหนือศีรษะแสดงความจงรักภักดี อย่างสุดซึ้ง พระเจ้าแผ่นดินทรงโน้มพระองค์อย่างต่ำที่สุด จนพระพักตร์แนบชิดกับศีรษะของแม่เฒ่า ทรงแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู พระหัตถ์แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชราชาวอีสานอยางอ่อนโยน
เป็นคำบรรยายเหมือนไม่จำเป็น สำหรับภาพที่ไม่จำเป็นต้องบรรยาย ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใดกับแม่เฒ่า แต่แน่นอนว่าแม่เฒ่าไม่มีวันลืม
เช่น เดียวกับที่ในหลวงไม่ทรงลืมราษฎรคนสำคัญที่ทรงพบริมถนนวันนั้น หลานและเหลนของแม่เฒ่าเล่าว่า “หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ แล้ว ทางสำนักพระราชวังได้ส่งภาพรับเสด็จของแม่เฒ่าตุ้ม พร้อมทั้งพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานผ่านมาทางอำเภอพระธาตุพนมให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึก” พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้ อาจมีส่วนชุบชูชีวิตให้แม่เฒ่ายืนยาวขึ้นอีกด้วยความสุขต่อมาอีกถึงสามปี เต็ม ๆ แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ ราษฎรผู้โชคดีที่สุดคนหนึ่งในรัชกาลที่ 9 สิ้นอายุขัยอย่างสงบด้วยโรคชราเมื่ออายุได้ 105 ปี
ข้อมูลจาก “แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์” ภาคพิเศษโดย คุณหญิงศรีนาถ สุริยะ วารสารไทย
“เขาเดินมาเป็นวัน ๆ”
… มีอยู่ครั้งนึง ข้าพเจ้าอายุ 18 ปี ได้ตามเสด็จ…ตอนนั้นเป็นช่วงหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทุกจังหวัดและอำเภอใหญ่ๆ ก็เสด็จฯ ประมาณ 9 โมงเช้า เสด็จออกทรงเยี่ยมราษฎรมาเรื่อยๆ ทีนี้ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า แหมนานเหลือเกิน ตอนนั้นยังไม่กางร่ม ตอนนั้นยังไม่ค่อยกลัวแดด ไม่ใส่หมวก ก็รู้สึกแดดเปรี้ยง หนังเท้านี้รู้สึกไหม้เชียว ก็เดินเข้าไปกระซิบท่านว่า พอหรือยัง ก็โดนกริ้ว
นี่เห็นไหมราษฎรเขาเดินมาเป็นวัน ๆ เพื่อมาดูเราแม้แต่นิดเดียว แต่นี่เรายืนอยู่ไม่เท่าไรล่ะ ตอนนี้ทนไม่ไหวเสียแล้ว..
พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ วันที่ 11 ส.ค. 2534
“ต่อไปจะมีน้ำ”
บทความ “น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม ทั่วเขตคามชื่นธารา” เขียนโดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 5 ธ.ค.2528 ได้เล่าให้ผู้อ่านชาวไทยได้ประจักษ์ถึงเรื่องอัศจรรย์ของ “ในหลวง” กับ “น้ำ” ที่เกิดขึ้นในคำวันหนึ่งของเดือน ก.พ.2528
ด้วยความทุกข์ที่เปี่ยมล้นใจอันเนื่องมาจากต้องเผชิญความแห้งแล้งอย่างหนัก หญิงชราคนนึ่งที่มาเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จได้คลานเข้ามากอดพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กราบบังคมทูลด้วยน้ำตาอาบแก้ม ขอพระราชทานน้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบว่า “ยายไม่ต้องห่วงแล้วนะ ต่อไปนี้จะมีน้ำ เราเอาน้ำมาให้” แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระดำเนินกลับไปยังรถพระที่นั่งซึ่งจอด ห่างออกไปราว 5 เมตร ปรากฎว่าท่ามกลางอากาศที่ร้อนแล้ง จู่ๆ ก็เกิดฝนตกลงมาเป็นครั้งแรกในรอบปี ทำให้ผู้ตามเสด็จและราษฎรในที่นั้นถึงกับงุนงงไปตามๆ กัน
“เก็บร่ม”
การเสด็จพระราชดำเนินทุกครั้ง แม้จะต้องเผชิญกับแดดร้อนหรือลมแรง ราษฎรก็ไม่เคยย้อท้อที่จะอดทนรอรับเสด็จให้ถึงที่สุด แม้ฝนจะตกหนักแค่ไหนก็ไม่มีใครยอมกลับบ้าน
ร้อยเอกศรีรัตน์ หริรักษ์ เล่าไว้ในบทความ “พระบารมีปกเกล้าฯ ที่อำเภอท่ายาง” ตีพิมพ์ในหนังสือ “72 พรรษาราชาธิราชเจ้านักรัฐศาสตร์” ว่า ครั้งหนึ่งที่โครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฎว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ราษฎรและข้าราชการที่มาเข้าแถวรอรับเสด็จต่างเปียกปอนกันหมด แต่ก็ยังตั้งแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่อย่างนั้น
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ นายตำรวจราชองค์รักษ์ที่ตามเสด็จได้เข้าไปกางร่มถวาย ทรงทอดพระเนตรเห็นบรรดาข้าราชการและราษฎรที่มายืนตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่ต่าง ก็เปียกฝนโดยทั่วกัน “จึงมีรับสั่งให้นายตำรวจราชอครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงพระดำเนินเยี่ยมข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเสด็จ โดยทรงเปียกฝนเช่นเดียวกับข้าราชการ และราษฎรทั้งหลายที่ยืนรอรับเสด็จในขณะนั้น”
“สิ่งที่ทรงหวัง”
ครั้งหนึ่งขณะเสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศคนหนึ่งได้ขอพระราชทานสัมภาษณ์ และได้กราบบังคมทูลถามว่า การที่เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรและมีโครงการตามพระราชดำริเกิดขึ้นมากมายนั้น ทรงหวังว่าจะให้คอมมิวนิสต์น้อยลงใช่หรือไม่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรบสั่งตอบว่า มิได้ทรงสนพระทัยว่าคอมมิวนิสต์จะน้อยลงหรือไม่ แต่ทรงสนพระทัยว่าประชาชนของพระองค์จะหิวน้อยลงหรือไม่
“รักถึงเพียงนี้” และ “จุดเทียนส่งเสด็จ”
บทความชื่อ “แผ่นดินร่มเย็นที่นราธิวาส” ตีพิมพ์ในนิตยสาร “สู่อนาคต” ฉบับพิเศษเนื่องในวันเฉลิมฯ ได้เล่าย้อนให้เราได้เห็นภาพความยากลำบากในการเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทางภาใต้เมื่อหลายปีก่อน โดยเฉพาะช่วงก่อนสร้างพระราชตำหนักทักษิณราชนิเวศน์นั้น เป็นที่รู้กันว่าจังหวัดนราธิวาสชุกชุมไปด้วยโจรร้าย โจรปล้นสะดมและพวกโจรเรียกค่าไถ่ ถึงขนาดที่ในหลายๆ หมู่บ้านนั้น แม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไป
ทว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักในทุกข์อันลึกล้ำของชาวบ้านที่ทั้งทุกข์เพราะยากจน และทุกข์เพราะภัยคุกคาม จึงได้เสด็จฯ ลงไปเยี่ยมเยียนเป็นขวัญกำลังใจให้ราษฎรของพระองค์โดยไม่ทรงหวาดหวั่น บางวันถึงกับเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์โดยปราศจากกำลังอารักขา และบางหมู่บ้านตำรวจเพิ่งถูกคนร้ายแย่งปืนแล้วยิ่งตายก่อเสด็จไปถึงเพียงไม่ กี่ชั่วโมง
ทรงรักราษฎรถึงเพียงนี้ จึงไม่แปลกที่หญิงชราคนหนึ่งในหมู่บ้านหนึ่งของอำเภอรือเสาะจะเข้ามาเกาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร้องไห้แล้วบอกว่า “ไม่นึกเลยว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไทยชาวพุทธ จะมารักมุสลิมได้ถึงขนาดนี้…”
บทความเดียวกันได้เปิดเผยต่อไปอีกว่า ที่อีกหมู่บ้านหนึ่งในอำเภอเดียวกันนั้น โต๊ะครูได้พาพรรคพวกมายืนรอรับเสด็จแล้วพูดขึ้นว่า “..รายอกลับไปเถอะ ประไหมสุหรีกลับไปเถิด ประเดี๋ยวพวกโจรจะลงจากเขา…” และเมื่อถึงเวลาเสด็จฯ กลับที่มืดสนิทอย่างน่ากลัว โต๊ะครูกับชาวบ้านก็พากันมาจุดเทียนส่งเสด็จตลอดเส้นทางอันตราย ด้วยความห่วงใยใน “รายอ” และ “ประไหมสุหรี” หรือ พระราชาพระราชินีของพวกเขาอย่างสุดซึ้ง
“รถติดหล่มกับถนนสายนั้น”
หากย้อนกลับไปค้นหาจุดเริ่มต้นของพระราชกรณียกิจในด้านการพัฒนาแล้ว ชื่อของ “ลุงรวย” และ “บ้านห้วยมงคล” คือสองชื่อที่ลืมไม่ได้ เรื่องราวของ “ลุงรวย” เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2495 หรือมากกว่าห้าสิบปีล่วงมาแล้ว ที่บ้านห้วยมงคล ตำบลหินเหล็กใน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
บ้านห้วย มงคลนี้อยู่ทั้ง “ใกล้และไกล” ตลาดหัวหิน ใกล้เพราะระยะทางที่ห่างกันนั้นไม่กี่กิโลเมตร แต่ไกลเพราะไม่มีถนน หากชาวบ้านจะขนพืชผักไปขายที่ตลาดต้องใช้เวลาเป็นวันๆ
ห่างไกลความเจริญถึงเพียงนี้ แต่วันหนึ่งกลับมีรถยนต์คันหนึ่งมาตกหล่มอยู่ที่หน้าบ้านลุงรวย เมื่อเห็นทหารตำรวจกว่าสิบนายระดมกำลังกันช่วยรถคันนั้นขึ้นจากหล่ม ลุงรวยผู้รวยน้ำใจสมชื่อก็กุลีกุจอออกไปช่วยทั้งงัด ทั้งดัน ทั้งฉุด จนที่สุดล้อรถก็หลุดจากหล่ม เมื่อรถขึ้นจากหล่มแล้ว ลุงรวยจึงได้รู้ว่ารถคันที่ตัวทั้งฉุดทั้งดึงนั้นเป็นรถยนต์พระที่นั่งและคน ในรถนั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระราชินีนาถ
แม้จะตื่นเต้นตกใจที่ได้เฝ้าฯ ในหลวงอย่างไม่คาดฝัน แต่ลุงรวยก็ยังจำได้ว่าวันนั้น “ในหลวง” มีรับสั่งถามลุงว่า “หมู่บ้านนี้มีปัญหาอะไรบ้าง..” ลุงได้กราบบังคมทูลว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดคือไม่มีถนน จึงนอกจากจะโชคดีได้รับพระราชทาน “เงินก้นถุง” จำนวน 36 บาท ซึ่งลุงนำไปเก็บใส่หีบบูชาไว้เป็นสิริมงคลจนถึงทุกวันนี้แล้ว
อีกไม่นานหลังจากนั้น ลุงรวยก็ได้เห็นตำรวจพลร่มกลุ่มหนึ่งเข้ามาช่วยกันไถดินที่บ้านห้วยมงคล และเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ชาวบ้านก็ได้ถนนพระราชทาน ถนนห้วยมงคลที่ทำให้ชาวไร้ห้วยมงคลสามารถขนพืชผักออกมาขายที่ตลาดหัวหินได้ ภายในเวลาเพียง 20 นาที
“สามร้อยตุ่ม”
มีหลายหนที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัดบริเวณพระวรกาย รอบพระศอ พระกร พระพักตร์ รวมทั้งแมลงตางๆ ที่เข้ามารุมรบกวนพระองค์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวจะยังทรงทอดพระเนตรแผนที่อยู่ภายใต้แสงไฟฉายที่มีผ้ส่องถวายอยางไม่สะ ดุ้นสะเทือน อย่างมากที่ทรงทำคือโบกพระหัตถ์ปัดไล่เบาๆ เท่านั้น
ครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งเล่าเรื่อง “ยุง” ด้วยพระอารมณ์ขันว่า “.. ที่บางจาก แต่ไม่มีจากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่ เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแตง ลองนับดูได้ข้างละร้อยห้าสิบตุ่ม สองข้างรวมสามร้อยพอดี..”
“น้ำท่วมครั้งนั้น”
วันที่ 7 พ.ย. 26 ขณะที่ชาวกรุงเทพมหานครส่วนหนึ่งกำลังทนทุกข์หนักกับสภาพน้ำท่วมขัง น้อยคนที่จะรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงพยายามหาหนทางบรรเทาทุกข์ให้พวกเขาอยู่อย่างเงียบ ๆ
วันนั้นรถพระที่นั่งแวนแวคคอนเนียร์ แล่นออกจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ราวบ่ายสองโมงเศษ สู่ถนนศรีอยุธยาเลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรบุรี มุ่งสู่ถนนบางนาตราด ไม่มีหมายกำหนดการ ไม่มีการปิดถนน แม้แต่ตำรวจท้องที่ก็ไม่ทราบล่วงหน้า
รถยนต์พระที่นั่งชะลอเป็นระยะๆ เพื่อทรงตรวจดูระดับน้ำ จนเมื่อถึงคอสะพานสร้างใหม่ที่คลองลาดกระบัง จึงเสด็จลงจากรถยนต์พระที่นั่งเพื่อทรงหารือกับเจ้าหน้าที่ที่ตามเสด็จ
ทรงฉายภาพด้วยพระองค์เอง ทรงกางแผนที่ทอดพระเนตรจุดต่างๆ จนถึงเวลาบ่ายคล้อย รถยนต์พระที่นั่งจึงแล่นกลับ เมื่อถึงสะพานคลองหนองบอน รถพระที่นั่งหยุดเพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉายภาพบริเวณน้ำท่วม และทรงศึกษาแผนที่ร่องน้ำอีกครั้ง
ปรากฎว่าชาวบ้านทราบข่าวว่า “ในหลวงมาดูน้ำท่วม” ต่างก็พากันมาชมพระบารมีนับร้อยๆ คน จนทำให้การจราจรบนสะพานเกิดการติดขัด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงโบกพระหัตถ์ให้รถขบวนเสด็จผ่านไปจนเป็น ที่เรียบร้อยด้วยพระองค์เอง!
“เชื่อมั่น”
เย็นย่ำแล้วแต่ขบวนรถยนต์พระที่นั่งยังไม่หมดภารกิจ เมื่อรถวิ่งกลับมาทางถนนพัฒนาการ ทรงแวะฉายภาพบริเวณคลองตัน ทอดพรเนตรระดับน้ำแล้วทรงวกกลับมาที่คลองจิก
เวลานั้นฟ้ามืดแล้วเพราะเป็นเวลาจวนค่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงนำไฟฉายส่วนพระองค์ออกมาส่องแผนที่ป้องกัน น้ำท่วมและแนวพนังกั้นน้ำอยู่เป็นเวลานาน กลายเป็นอีกภาพหนึ่งที่สร้างความตื้นตันใจแก่ประชาชนชาวกรุงเทพฯ อย่างยิ่ง
ประชาชนคนหนึ่งในละแวกเคหะนคร 1 แขวงบางบอน เขตประเวศ บอกว่า “รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ทรงห่วงใยทุกข์ของราษฎร เสด็จฯ มาแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วยพระองค์เอง พวกเราถึงจะทนทุกข์เพราะน้ำท่วมขังเน่ามาเป็นเวลานานก็เชื่อมั่นว่าพระองค์ ทรงช่วยพวกเราได้อย่างแน่นอน”
“ฉันทนได้”
ในเดือนหนึ่งของปี 2528 พระทนต์องค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหักเฉียดโพรงประสาทฟัน พระทนต์องค์นั้นต้องการการถวายการรักษาเร่งด่วน แต่ขณะนั้นกรุงเทพฯ ก็กำลังประสบปัญหาอุทกภัย ต้องการการบรรเทาทุกข์เร่งด่วนเช่นกัน
เมื่อทันตแพทย์เข้ามาถวายการรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า “จะใช้เวลานานเท่าใด” ทันตแพทย์กราบบังคมทูลว่า อาจต้องใช้เวลา 1-2 ชม. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า “ขอรอไว้ก่อนนะ ฉันทนได้ วันนี้ขอไปดูราษฏรและช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมก่อน”
“คำสอนประโยคเดียว”
เมื่อนิตยสาร “สไตล์” ฉบับปี 2530 ได้ตั้งคำถามกับ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ถึง “คำสอน” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ประทับอยู่ในหัวใจ ดร.สุเมธ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการ กปร. ตอบว่า คำสอน ประโยคเดียวก็เกินพอนั้นคือพระราชดำรัสที่ว่า “มาอยู่กับฉันนั้น ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความสุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น”
“ดีใจที่สุด”
สำหรับผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์มืดมน พระบรมฉายาลักษณ์ไม่เพียงเป็นรูปเคารพบูชา แต่ยังเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความศรัทธาที่ช่วยให้มีแรงต่อสู้กับความทุกข์ต่อไปได้ ดังคุณยายละเมียด แสงเนียมวัย 72 ปี ชาวจังหวัดชุมพร ผู้ที่เผชิญกับอุทกภัยภาคใต้ในปี 2540 น้ำท่วมบ้านสูงมากจนอยู่อาศัยไม่ได้
“อยู่ๆ น้ำก็ท่วมมาเร็วมาก ยายต้องไปขออาศัยบ้านคนอื่นเขาอยู่ ต่อมาก็ขึ้นไปอยู่ชั้นบน ออกไปไหนไม่ได้เลย” … พอดีที่บ้านนี้เขาปลูกมะละกอ ต้นมันสูงมาถึงหน้าต่างเราก็เอื้อมถึงพอดี เลยได้กินข้าวกับมะละกอ ก็กินมาสามวัน มาเมื่อวานผู้ใหญ่บ้านมาบอก มูลนิธิในหลวงจะเอาของมาแจกยายคิดเลยว่า ไม่อดตายแล้ว ทุกครั้งที่คนไทยเดือดร้อน ในหลวงจะให้ความช่วยเหลือทุกครั้ง
ของที่ยายได้มา ที่ดีใจที่สุดคือมีรูปของท่านมาด้วย ที่บ้านเสียหายหมดแล้ว ยายจะเอารูปท่านไว้บูชา ยายพูดแล้วก็ก้มลงกราบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยความจงรักสุดหัวใจ
“ทุกข์บรรเทา”
“การประทับอยู่ในบ้านเมือง” ดังพระราชดำรัสนั้น ในเวลาต่อมาก็เป็นที่รู้กันว่ามิได้หมายถึงการประทับอยู่ในเมืองหลวงเท่า นั้น แต่ยังเสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรของพระองค์จนแทบจะทั่วทุกตารางนิ้วที่พระบาทจะย่างไปถึงได้ ทรงวิทย์ แก้วศรี ผู้เรียบเรียงบทความ “บรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าผู้ทรงพระคุณธรรมอันประเสริฐ” บันทึกไว้ว่า
วันที่ 13 ก.ย 2497 ขณะที่ทรงมีพระชนมายุ 26 พรรษา และทรงครองราชย์เป็นปีที่ 8 ปรากฎว่าเกิดเหตุการณ์อัคคีภัยครั้ง ร้ายแรงขึ้นที่อำเภอบ้านโป่ง จ.ราชบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยือนราษฎรชาวบ้านโป่งผู้ประสบภัยในพื้นที่ ทรงทอดพระเนตรบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้และพระราชทานสิ่งของบรรเทาทุกข์
ทุกข์ในยามยากเพราะสิ้นเนื้อประดาตัวจากภัยเพลิงนั้นมากล้น แต่เมื่อได้รู้ว่ายังมีใครสักคนคอยเป็นกำลังใจ ทุกข์สาหัสแค่ไหนก็ยังพอมีแรงกายลุกขึ้นสู้ต่อได้ การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรผู้ประสบภัยในครั้งนั้น นับได้ว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกในรัชกาล
“141 ตัน”
เป็นที่รู้กันดีว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเริ่มเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 และหลังจากนั้นบัณฑิตทุกคนก็เฝ้ารอที่จะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์อย่างใจจดใจจ่อ
ภาพถ่ายวันรับพระราชทานปริญญาบัตรกลายเป็นของ ล้ำค่าที่ต้องประดับไว้ตามบ้านเรือนและเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของหนุ่ม สาวและความภาคภูมิใจของบิดามารดา
จน 29 ปีต่อมามีผู้คำนวณให้ฉุกใจคิดกันว่าพระราชภารกิจในการพระราชทานปริญญาบัตร นั้นเป็นพระราชภารกิจที่หนักหน่วงไม่น้อย หนังสือพมพ์ลงว่าหากเสด็จฯพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละราว 3 ชม. เท่ากับทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทานใบปริญญาบัตร 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมดที่พระราชทานมาแล้ว 141 ตัน
ไม่เพียงเท่านั้น ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ยังเล่าเสริมให้เห็น “ความละเอียดอ่อนในพระราชภารกิจ” ที่ไม่มีใครคาดถึงว่า “ไม่ได้พระราชทานเฉยๆ ทรงทอดพระเนตรอยู่ตลอดเวลา โบหลุดอะไรหลุดพระองค์ท่านทรงผูกโบว์ใหม่ให้เรียบร้อย บางครั้งเรียงเอกสารไว้หลายวัน ฝุ่นมันจับ พระองค์ท่านก็ทรงปัดออก”
“สุขเป็นปี ๆ”
ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ทรงลดการเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรลงบ้าง โดยอาจงดเว้นการพระราชทานปริญญาบัตรในระดับป.ตรี คงไว้แต่เพียงระดับปริญญาโทขึ้นไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับมีพระราชกระแสรับสั่งตอบว่า พระองค์เองเสียเวลายื่นปริญญาบัตรให้บัณฑิตคนละ 6-7 วินาทีนั้น แต่ผู้ได้รับนั้นมีความสุขเป็นปี ๆ เปรียบกันไม่ได้เลย ที่สำคัญคือ ทรงเห็นว่าการพระราชทานปริญญาสำหรับผู้สำเร็จป.ตรี นั้นสำคัญ เพราะบางคนอาจไม่มีโอกาสศึกษาชั้นปริญญาโทและปริญญาเอก ดังนั้น “จะพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตปริญญาตรีไปจนกว่าจะไม่มีแรง..”
“พระมหากษัตริย์”
เมื่อมีผู้สื่อข่าว bbc ขอพระราชทานสัมภาษณ์เพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Soul of Nation ในปี 2522 โดยได้กราบบังคมทูลถามถึงพระราชทัศนะเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ไทย พระองค์ได้พระราชทานคำตอบว่า
การที่จะอธิบายว่าพระมหากษัตริย์ คืออะไรนั้น ดูเป็นปัญหาที่ยากพอสมควร โดยเฉพาะในกรณีของข้าพเจ้า ซึ่งถูกเรียกโดยคนทั่วไปว่า พระมหากษัตริย์ แต่โดยหน้าที่ที่แท้จริงแล้ว ดูจะห่างไกลจากหน้าที่ที่พระมหากษัตริย์ที่เคยรู้จักหรือเข้าใจกันมาแต่ก่อน หน้าที่ของข้าพเจ้าในปัจจุบันนั้น ก็คือทำอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ ถ้าถามว่า ข้าพเจ้ามีแผนการอะไรบ้างในอนาคต คำตอบก็คือ ไม่มี เราไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เราก็จะเลือกทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้วสำหรับเร
|
|
|
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมหาสมาคม ทรงย้ำทุกฝ่ายถือเป็นหน้าที ่ที่จะต้องร่วมมือกันช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมและแก้ไขปัญหาน้ำให้ผ่านพ้นไป
โดย เร็ว และรับการถวายพระพรชัยมงคล ณ มุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหา มงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ท่ามกลางพสกนิกรชาวไทยทุกหม ู่เหล่าเฝ้าฯ รอรับเสด็จชื่นชมพระบารมี
อย ่างเนืองแน่น และร่วมถวายพระพรชัยมงคล
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมหาสมาคม รับการถวายพระพรชัยมงคล ณ มุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหา มงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554
เวลา 07.30 น. ขบวนแห่เชิญน้ำพระพุทธมนต์อ อกจากวัดพระเชตุพนวิมลมังคล าราม ไปตามถนนสนามไชย เลี้ยวซ้ายไปตามถนนหน้าพระล านเข้าสู่พระบรมมหาราชวังทา งประตูวิเศษไชยศรี ประตูพิมานไชยศรี ไปยังหน้าพระที่นั่งจักรีมห าปราสาท เจ้าพนักงานอัญเชิญน้ำพระพุ ทธมนต์ไปตั้งยังบุษบกและพาน ธูปเทียนแพวางที่เสาบัวกลุ่ มหน้าที่ยืนเฝ้าฯ ของนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา และประธานศาลฎีกา ส่วนพุ่มดอกไม้ของแต่ละจังห วัดนำไปตั้งถวายราชสักการะ ณ แท่นซึ่งจัดไว้ตามแนวกำแพงพ ระบรมมหาราชวังด้านขวาและด้ านซ้ายของประตูวิเศษไชยศรี
เวลา 09.30 น. พระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะทูตานุทูต สมาชิกรัฐสภา ข้าราชการทหาร-พลเรือน ผู้มีตำแหน่งเฝ้าฯ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพร้อ มในมณฑลพระราชพิธีพระที่นั่ งจักรีมหาปราสาท
จากนั้นเวลา 10.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์ พระที่นั่ง พร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอร สาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารี รัตน์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชต ิ จากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพร ะบรมมหาราชวัง เข้าทางประตูศักดิ์ไชยสิทธิ ์ ประตูราชสำราญ รถยนต์พระที่นั่งเทียบที่โถ งล่างพระที่นั่งบรมสถิตยมโห ฬาร
ในการนี้ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราช กัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ เสด็จมาทรงรอรับเสด็จอยู่ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง
กระทั่งเวลา 10.59 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จออกพระที่นั่งจักรีมหา ปราสาท พระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี เลขาธิการพระราชวัง ราชเลขาธิการ สมาชิกราชสกุล และสตรีผู้มีบรรดาศักดิ์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในท้ องพระโรงพระที่นั่งจักรีมหา ปราสาท
เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิรา ชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯไปทรงยืนเฝ้าฯ ที่แท่นหน้ามุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทพร ้อมแล้ว เจ้าพนักงานรัวกรับและเปิดพ ระวิสูตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ชาวพนักงานกระทั่งมโหระทึกป ระโคมแตรฝรั่ง ทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระ บารมี ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจ ยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติฝ ่ายละ 21 นัด พระสงฆ์ทั่วราชอาชอาณาจักรเ จริญชัยมงคลคาถา ย้ำฆ้องกลองระฆัง พร้อมกับการประกอบพิธีกรรมข องศาสนาอื่นๆ
ครั้นสุดเสียงเพลงสรรเสริญพ ระบารมีแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเ ทียนแพ แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาถว ายพระพรชัยมงคลแทนพระบรมวงศ านุวงศ์ "ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าบรรดาพระบรมว งศานุวงศ์ มีความปีติปราโมทย์พ้นประมา ณที่ได้รับพระราชทานพระบรมร าชวโรกาสให้มาประชุมเฝ้าทูล ละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล ในมหามงคลสมัยที่ทรงเจริญพร ะชนมมายุครบ 7 รอบ
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายสำนึ กตระหนักเสมอมาในพระราชจริย วัตร ที่ทรงพระราชอุตสาหะปฏิบัติ บำเพ็ญประการทั้งหลายทั้งปว ง ก็เพื่อความเจริญร่มเย็นของ อาณาประชาราษฎร์และความมั่น คงของประเทศชาติเป็นสำคัญ
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวง ผู้มีวาสนาอย่างยิ่งที่เกิด มาในแผ่นดินไทย ภายใต้พระบุญญาธิการ จึงได้รับพระบารมีแผ่ปกเกล้ าปกกระหม่อมให้มีความสุข ความเจริญ และมีเกียรติยศเป็นที่เชิดช ู ซึ่งต่างสำนึกในพระมหากรุณา ธิคุณอยู่ถ้วนหน้า
ในมหามงคลสมัยพิเศษนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจึงขอพระราชท านถวายสัตย์ปฏิญาณว่า การใดที่จะเป็นประโยชน์แก่ค วามผาสุกมั่นคงของประเทศชาต ิและประชาชนแล้ว จะมุ่งมั่นปฏิบัติการนั้นจน เต็มกำลังความรู้ ความสามารถ เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณด ้วยกตัญญูกตเวทิตาจิตและควา มจงรักภักดี กับขอพระราชถวายพระพรชัยมงค ล ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตน ตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กับทั้งพระบรมเดชานุภาพแห่ง สมเด็จพระมหากษัตริย์ในอดีต ทุกพระองค์ จงพร้อมกันอภิบาลใต้ฝ่าละออ งธุลีพระบาท ให้ทรงสมบูรณ์ด้วยพลานามัย มีพระราชหฤทัยผ่องแผ่ว ปลอดพ้นจากเรื่องรบกวนกังวล มีพระราชประสงค์จำนงใด ขอจงสำเร็จศุภผลดังพระราชหฤ ทัยจำนงทุกประการ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดช ะ" เสร็จแล้วเสด็จฯไปเฝ้าฯ ณ ท้องพระโรงหน้าพระที่นั่งจั กรีมหาปราสาท
จากนั้นนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทีย นแพ แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาถว ายพระพรชัยมงคล แทนคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ-พลเรือน และราษฎรทุกหมู่เหล่า ว่า
“ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทป กเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้านางสาวยิ่งลั กษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในนามของคณะรัฐมนตรี ข้าราชการฝ่ายพลเรือน ตำรวจ ทหาร และประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล ่า ขอพระราชทานกราบบังคมทูลพระ กรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบา ท ถึงความปลาบปลื้มปีติของปวง ข้าพระพุทธเจ้า ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมี พระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง และพระราชทานพระบรมราชวโรกา สให้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพร ะบาท เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหา มงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ในวันนี้
ข้าพระพุทธเจ้าและพสกนิกรชา วไทยตระหนักดีว่า ชีวิตทุกวันนี้เย็นศิระเพรา ะพระบริบาลโดยแท้ใต้ฝ่าละออ งธุลีพระบาททรงเป็นดวงประที ปและธงชัยนำชีวิตของข้าพระพ ุทธเจ้า และคนไทยทั้งแผ่นดิน การปฏิบัติตนเพื่อสนองพระมห ากรุณาธิคุณด้วยความรู้รักส ามัคคี จึงเป็นมิ่งมงคลและเป็นความ ดีงามที่พึงยึดถือโดยไม่เว้ นวายนี้ คือความรู้สึกอันมีอยู่ในหั วใจข้าพระพุทธเจ้าและพสกนิก รไทยทุกคนอย่างแท้จริง
ในอภิลักขิตมหามงคลสมัยเฉลิ มพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม ศกนี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชท านพระบรมราชานุญาตน้อมเกล้า น้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมง คล ขออานุภาพคุณพระศรีรัตนตรัย และเทวาดิเทพทั้งมวล ตลอดจนพระบรมเดชานุภาพแห่งส มเด็จพระบูรพกษัตริย์ทุกพระ องค์ โปรดอภิบาลประทานพรชัยมงคลใ ห้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงเจริญพระชนมายุยิ่งยืนนา น ทรงพระเกษมสุขทุกทิวาราตรีก าล ปราศจากโรคาพาธและอุปัทวันต รายทั้งปวง ขอบันดาล ธ ประสงค์ใด จงสฤษดิ์ดังหวังวรหฤทัย ดุจถวายชัย ชโย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ”
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูป เทียนแพ แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาถว ายพระพรชัยมงคล แทนสมาชิกรัฐสภา "ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทป กเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ในนามของสมาชิกรัฐสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้แทนปวงชนชาวไทย ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส กราบบังคมทูลพระกรุณาแสดงคว ามปลื้มปีติเป็นล้นพ้น เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหา มงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 อันเป็นวาระสำคัญพิเศษยิ่ง ของพสกนิกรชาวไทยทั้งชาติ
ปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอตั้งจิตปรารถนาสมานฉันท์ ประกอบกรรมดี ถวายเป็นราชสักการะเฉลิมพระ เกียรติเพิ่มพูนพระบุญญาธิก าร สมภารบารมีให้เป็นที่สดุดี ปรากฏพระเกียรติยศแผ่ไพศาล ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะเทิดทูนปกปักษ์รักษาราชบั ลลังก์ และจะสนองพระราชปณิธานอันปร ะเสริฐทุกวิถีทาง ให้ประเทศชาติและระบอบประชา ธิปไตยดำเนินไปอย่างมั่นคงแ ละยั่งยืน
ในโอกาสมหามงคลอันประเสริฐส ุดนี้ ข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพ ระพรชัยมงคล ขออานุภาพคุณพระรัตนตรัย และเทวาดิเทพน้อยใหญ่ ผู้ปกปักษ์บริรักษ์สยามรัฐศ รีมา มีพระสยามเทวาธิราช เป็นอาทิ อีกทั้งพระบรมเดชานุภาพแห่ง สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิ ราชเจ้าทุกพระองค์ กอร์ปกับอำนาจแห่งพระราชกุศ ลบารมีที่ทรงสั่งสมตลอดมาหา ประมาณมิได้ จงพร้อมเพรียงกันเกื้อกูลแล ะอภิบาล บำรุงใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ให้ทรงพระเกษมสวัสดี ทรงผ่องแผ้วด้วยพระบุญราศีส ูงส่ง ทั้งในพระราชหฤทัย และพระวรกาย อริราชศัตรูหมู่มารทั้งหลาย พ่ายแพ้แก่พระมหากรุณาอันพิ ศุทธิ์ไพศาล พระกิตติคุณบุญญาธิการแผ่ไก ลในทิศานุทิศ พระราชประสงค์จงสัมฤทธิ์ทุก ประการ จงสถิตสถาพรยั่งยืนนานในมไห สุริยะสมบัติ เป็นร่มฉัตรปกประเทศ เป็นบุญเขตรุ่งเรือง ร่มเย็นสำหรับข้าพระพุทธเจ้ าทั้งหลาย และประชาชาวไทยถ้วนหน้า ได้พึ่ง ได้อาศัย ด้วยความผาสุก สวัสดี ตลอดไปชั่วกาลนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดช ะ"
นายไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกา เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทีย นแพ แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาถว ายพระพร ชัยมงคล แทนข้าราชการตุลาการ "ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทป กเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า นายไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกา ในนามของข้าราชการฝ่ายตุลาก าร ที่ปฏิบัติราชการสนองพระเดช พระคุณภายใต้เบื้องพระยุคลบ าท
ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส กราบบังคมทูลพระกรุณาแสดงคว ามจงรักภักดี ปีติโสมนัส เนื่องในวันมหามงคลเฉลิมพระ ชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ผู้ทรงธำรงอยู่ในทศพิธราชธร รมในการปฏิบัติบำเพ็ญพระราช กรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกร ชาวไทย ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูน และเป็นศูนย์รวมจิตใจของอาณ าประชาราษฎร์ตลอดมา
ในงานด้านศาลสถิตยุติธรรม ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงเป ็นปราชญ์ในสาขานิติศาสตร์ ทรงเข้าถึงหลักกฎหมาย และความยุติธรรมอย่างถ่องแท ้ ลึกซึ้ง ดังจะเห็นได้จากพระบรมราโชว าท พระราชดำรัส และแนวพระราชดำริ ที่พระราชทานแก่ข้าราชการตุ ลาการ และผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายใ นหลากหลายวาระ ทั้งในเรื่องหลักการ แนวคิด แนวทางการปฏิบัติงาน ตลอดจนการดำรงตน เพื่อให้ทุกคนนับไปยึดถือปฏ ิบัติ บังเกิดผลในการบังคับใช้กฎห มายเป็นไปเพื่อรักษาความยุต ิธรรม เป็นหลักชัยสูงสุด
ในมหาสมัยอันเป็นมงคลยิ่งนี ้ ข้าพระพุทธเจ้าบรรดาข้าราชก ารฝ่ายตุลาการ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ตั้งสัตยาธิษฐานจะร่วมกันปฏ ิบัติหน้าที่ในอันที่จะประส ิทธิ์ ประศาสตร์ความยุติธรรมให้แก ่ปวงชน ด้วยความเที่ยงธรรมและสุจริ ตธรรม โดยเต็มความสามารถ พร้อมทั้งขออาราธนาคุณพระรั ตนตรัย และอานุภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในสากล โปรดอภิบาลบันดาลให้ใต้ฝ่าล ะอองธุลีพระบาท ทรงเจริญพระชนมพรรษายิ่งยืน นาน ทรงพระเกษมสำราญ พระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ทรงเจริญพรั่งพร้อมด้วยจตุร พิธพรชัย เป็นมิ่งขวัญแก่ปวงชนชาวไทย ตลอดกาลนิรันดร์ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดช ะ"
พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กราบบังคมทูล พระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลแล ะกล่าวนำทหารรักษาพระองค์ถว ายสัตย์ปฏิญาณ "ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทป กเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมด้วยผู้บัญชาการทหารทุ กเหล่าทัพ ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ทหารรักษาพระองค์ และทหารทุกหน่วย ทุกเหล่าทัพ ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส ถวายสัตย์ปฏิญาณ ต่อไปนี้ให้ทหารถวายคำสัตย์ ปฏิญาณตามข้าพระพุทธเจ้า
"ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทป กเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า.. (ขานนามตนเอง)........ ขอถวายคำสัตย์ปฏิญาณต่อใต้ฝ ่าละอองธุลีพระบาทว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะยอมตาย เพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดช านุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ ้า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดี และถวายความปลอดภัยต่อใต้ฝ่ าละอองธุลีพระบาท จนชีวิตหาไม่ ข้าพระพุทธเจ้าจะเชิดชูและร ักษาไว้ซึ่งเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ ของทหารรักษาพระองค์ ทั้งจะปฏิบัติตนให้เป็นที่ไ ว้วางพระราชหฤทัยของใต้ฝ่าล ะอองธุลีพระบาททุกประการ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดช ะ" เสร็จแล้วทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระ บารมี จบเพลงสรรเสริญพระบารมีผู้เ ฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในมหา สมาคมถวายความเคารพ พร้อมกัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสตอบ "ขอขอบพระทัยและขอบใจท่านทั ้งหลายเป็นอย่างยิ่งที่มีไม ตรีจิตพรั่งพร้อมกันมาให้พร วันเกิด รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาโดยปร ะการต่าง ๆ ข้าพเจ้าขอสนองต่อพรและไมตร ีจิตทั้งนั้นด้วยใจจริงเช่น กัน
ท่านทั้งหลาย ในปีนี้ผู้อยู่ในตำแหน่งหน้ าที่สำคัญ ทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร ย่อมทราบแก่ใจอยู่ทั่วกันว่ าความมั่นคงของประเทศชาตินั ้นจะเกิดมีขึ้นได้ก็ด้วยประ ชาชนในชาติอยู่ดีมีสุข ไม่มีทุกข์ยากเข็ญ ดังนั้น การใดที่เป็นความทุกข์เดือด ร้อนของประชาชนทุกคน ทุกฝ่าย จึงต้องถือเป็นหน้าที่ที่จะ ต้องร่วมมือกันปฏิบัติ แก้ไขให้เต็มกำลัง
โดยเฉพาะขณะนี้ประชาชนกำลัง เดือดร้อนลำบากจากน้ำท่วม จึงชอบที่จะร่วมมือกันปัดเป ่าแก้ไขให้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว และจัดทำโครงการบริหารจัดกา รน้ำอย่างยั่งยืน อย่างเช่นโครงการต่าง ๆ ที่เคยพูดไปนั้น เป็นการแนะนำไม่ให้สั่งการ แต่ถ้าเป็นปรึกษากันแล้ว เห็นว่าเป็นประโยชน์คุ้มค่า และทำได้ก็ทำ ข้อสำคัญจะต้องไม่ขัดแย้งแต กแยกกัน หากจะต้องให้กำลังใจซึ่งกัน และกัน เพื่อให้งานที่ทำบรรลุผลที่ มีประโยชน์ เพื่อความผาสุกของประชาชน ความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ชาติ
ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยแ ละสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านให้ปราศ จากทุกข์ ปราศจากภัย และอำนวยความสุข ความเจริญให้แก่ท่านทั่วกัน "
จบแล้ว ผู้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทใ นมหาสมาคมทั้งหมดถวายความเค ารพ ชาวพนักงานกระทั่งมโหระทึก ประโคมแตรฝรั่ง ทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระ บารมี นายกรัฐมนตรีกล่าวนำ "ทรงพระเจริญ" 3 ครั้ง เจ้าพนักงานรัวกรับและปิดพร ะวิสูตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปประทับร ถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับ
ทั้งนี้ ตลอดเส้นทางเสด็จฯ ตั้งแต่โรงพยาบาลศิริราชเรื ่อยมาตลอดถนนราชดำเนินจนถึง พระบรมมหาราชวัง ทั้งสองฟากฝั่งเนืองแน่นไปด ้วยพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล ่าที่มาเฝ้าฯ รอรับเสด็จชื่นชมพระบารมี และต่างโบกธงชาติไทย ธงตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเ กียรติฯ พร้อมเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องอย่างไม่ขาดสาย เพื่อถวายความจงรักภักดี ถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทส มเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหา มงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554
ชมพูนุท รายงาน
|
|
|
ที่ปรึกษานายกฯจัดหนัก ตีแสกหน้า..ผิดหลักการ ระดับสูงคิด:เจรจายุติได้ แต่ดันไปเข้าทาง'โจรใต้'
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี
“เหตุวินาศกรรม” ที่จ.ยะลา และอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา ก่อให้เกิดคำถามตามาอย่างมากมาย ว่า “ความรุนแรง...จะกลับมาอีกแล้วหรือ”
แต่เมื่อ “หลายฝ่าย” พยายามตรวจสอบข้อเท็จจริง...ก็ปรากฏว่า “มูลเหตุสำคัญ” คือ การเปิดโต๊ะเจรจากับ “กลุ่มโจรที่ก่อความไม่สงบ” ของ “ทางการไทย”
|
|
|
“ถาวร เสนเนียม” ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรมช.มหาดไทย ที่เกาะติดปัญหาชายแดนภาคใต้มาตลอด ถึงกับกล้าแฉกลางสภาฯ เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า “วันที่ 22 ก.พ. 2555 การข่าวที่เชื่อถือได้พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปพบผู้ก่อความไม่สงบ 18 คน ที่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยต้องการพบ นายสะแปอิง บาซอ แต่เขาไม่ให้เกียรติมาพบ เพราะเขารู้ว่า ต้องการตบหัวแล้วลูบหลัง ซึ่งมีการเสนอเงินก้อนหนึ่งให้เขาเพื่อยุติ ซึ่งเป็นความหวังดีแต่ขาดเอกภาพระหว่างฝ่ายความมั่นคงกับการเมือง ครั้งที่ 2 วันที่ 17 มี.ค. 2555 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปด้วย แต่เขามา 15 คน เจรจากันไป-มา ฝ่ายมั่นคงไม่รับทราบ เป็นเหตุให้ ผบ.ทบ. ออกอาการ”
นั่นหมายความว่า “ทักษิณ” ดึงน้องสาว “ยิ่งลักษณ์” ในฐานะนายกรัฐมนตรี...ไปเจรจาด้วย และทำไม...ถึงเกิดเหตุร้ายขึ้นได้
“ไทยอินไซเดอร์” ขอนำไปสนทนาตรงกับ “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ในฐานะอดีตรองผู้อำนวยการรักษาความไม่สงบภายใน (รองผอ.กอ.รมน.) ผู้ซึ่งคลุกคลีกับปัญหาภาคใต้มาโดยตลอด
หลายคำพูดจาก “ปากเขา” สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า “รัฐบาลพี่คิด-น้องทำ”...ใช้คนไม่ถูกกับงาน และการดอดไปเจรจาในครั้งนี้ ก่อให้เกิดความผิดพลาดอย่างไร???
จากนี้ไปคือ “คำตอบ”
Q : ในฐานะที่เคยทำงานแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ มีความคิดเห็นอย่างไรกับเหตุการณ์คาร์บอมบ์ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้น
A : ได้ดู “ผบ.ทบ.” (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ท่านคอมเม้นท์แล้วว่า “การเจรจามันผิดกฎหมาย” สำหรับผมก็มองลักษณะเดียวกัน แต่ผมมองว่า...ไปเจรจาเท่ากับเราไปยอมรับขบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย พอยอมรับปั๊บ...ต้องเข้าใจว่า “ขบวนการโจรก่อการร้ายภาคใต้” มันพยายามจะเข้าไปเป็นสมาชิกโอไอซี (องค์การการประชุมอิสลาม : Organisation of the Islamic Conference / มีสมาชิกราว 57 ประเทศ ประชากรรวมกว่า 1.2 พันล้านคน ทั้งในตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชียกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ อเมริกาใต้ โดยใช้ภาษากลางคือ ภาษาอารบิก ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมสรรพกำลัง ปกป้องผลประโยชน์ของชาติสมาชิก รวมถึงการพูดเป็นเสียงเดียวกันในเรื่องสำคัญๆ ในเวทีสากล) มา 2 ครั้งแล้ว แต่ว่าเงื่อนไขเขามี 3 ประการ...อันแรกคือมีการจัดตั้งที่แน่นอน...วันนี้เขามี ก็รู้อยู่ใครเป็นใคร อันที่สอง มีการสู้รบในพื้นที่...อันนี้ก็มี อันที่สาม นี่แหละที่เขาขาด คือการเจรจากับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ คล้ายๆ เราไปยอมรับขบวนการเขา ถ้าเขาครบ 3 ข้อ เราไปเจรจาปั๊บ เขาจะถือว่าเป็นข้อที่สาม เขาจะเข้าไปเป็นสมาชิกโอไอซี มุสลิม 57 ประเทศ เราก็อยู่ในภาวะที่หนักละ “57 ประเทศ”...เขาก็จะรุมเรา อันนี้ผมห่วง ห่วงมากเลยที่เขา (หมายถึงรัฐบาลไทย) ไปเจรจา
Q : การที่รัฐบาลไปเจรจาเท่ากับเป็นการไปยกระดับความสำคัญให้กับโจรก่อการร้าย ที่สามารถสร้างเงื่อนไขใช้ต่อรองกับรัฐบาล
A : ก็ได้ การเจรจา...ถ้าตามข่าวท่านรองนายกฯคนหนึ่ง (หมายถึงพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) ท่านก็บอกแล้วนี่ครับ ท่านให้สัมภาษณ์ออกอากาศว่า ท่านส่งเลขาฯศอ.บต. (พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง) ไปเจรจาทางลับกับโจร แล้วท่านยังบอกว่า 3 เดือนยุติ แต่ผมมองว่า...มันไม่ใช่ มันจะเป็นเงื่อนไขให้เขาเข้าสมาชิกโอไอซีได้ แล้วเราจะลำบาก พอเข้าได้ปั๊บลองคิดดูสิ 57 ประเทศเขามารุมเรา ขนาดนี้เราแทบจะตายอยู่แล้ว ผมมองแบบนั้น ผมถึงห่วง ห่วงว่ามันจะเสีย แล้วเสียจริงๆ ถ้าเขาเข้าเป็นสมาชิกได้นะ
Q : การแก้ไขปัญหาความไม่สงบที่ผ่านมา มักใช้แนวทางการเมืองนำการทหาร การเจรจาโดยสันติวิธีถือเป็นวิธีการหนึ่งหรือไม่
A : มันไม่ใช่ มันเป็นการที่เราไปยอมรับกระบวนการ เรื่องนี้เราไม่ยอมรับว่าเป็นกระบวนการก่อการร้าย เราไม่ยอมรับ ถ้ายอมรับ...เขาก็จะมีอิสระ จะเข้าโอไอซี วันนี้ถ้าไปเจรจา มันเท่ากับเรายอมรับเขา วันนี้เราไม่ยอมรับ เราถือว่าพวกนี้เป็นกบฏแบ่งแยกดินแดน
Q : การดำเนินการแก้ไขปัญหา จะต้องใช้หลักกฎหมาย ใช้กฎหมายอาญาถ้ากระทำความผิด
A : ใช่ครับ การดำเนินการต้องตามกฎหมายอาญา ทีนี้ผมเนี่ย...เคยเป็นหัวหน้ากองโจรมาเก่า ผมเคยไปรบในเวียดนาม เพราะฉะนั้นวันนี้...ในภาคใต้มันเป็นสงครามกองโจรเต็มรูปแบบ ตามแผนบันได 7 ขั้น มันอยู่ขั้นที่ 7 แล้ว คือขั้นที่ 7 มีแกนนำ 300 คน กองกำลังติดอาวุธ 3,000 คน แนวร่วม 30,000 คน เขาถึงทำแบบนี้ได้ เพราะฉะนั้น...หลักการเราต้องยอมรับว่า วันนี้มันเป็นสงครามกองโจรเต็มรูปแบบ เมื่อเป็นสงครามเต็มรูปแบบตามหลักของทหารเขามี 3 ขั้นตอนในการปราบปรามกองโจร
อันแรกคือ Search หมายถึง...เราค้นหาแยกให้ได้ว่า อันไหนเป็นแกนนำ อันไหนเป็นกองกำลังติดอาวุธ
อันที่สองคือ Destroy หมายถึงว่า...เราก็ต้องทำลายกองกำลังพวกนี้ ถ้าเขามอบตัว เราก็ปฏิบัติไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าไม่มอบตัว เราต้องปราบปราม เพราะเขาถืออาวุธ และการจะชนะสงครามภาคใต้ได้ เราต้องเอาประชาชนมาเป็นพวกให้ได้ วันนี้เขาถือปืนคุมประชาชนอยู่ เพราะฉะนั้นเราจะทำยังไง ถ้าเขาสู้ก็ต้องปะทะกัน แต่ถ้าเขามอบตัว ก็ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม
ข้อที่สามคือ Deconstruction คือการบูรณาการ มันต้องมาอยู่ขั้นที่สาม
ทีนี้วันนี้ของเรามันอะไรก็ไม่รู้ มันเกิดมี 3 หัวขึ้นมา คือ 1.ทหาร คือ กอ.รมน. 2.ศอ.บต.ทำด้านพัฒนา 3.ศปก.ตร.อันนั้นเขาทำด้านสอบสวนสืบสวน เพราะฉะนั้นตามหลักของทหาร ตามหลักยุทธวิธีทั่วไป ถ้าเรายอมรับว่า...วันนี้ภาคใต้เป็นสงครามกองโจร เราถือว่าเป็นยุทธภูมิหนึ่งของการรบ เพราะฉะนั้นมันจะต้องมี 1 Commander เท่านั้น...ไม่ใช่ 3 Commander
Q : การแก้ไขปัญหาควรมอบหมายให้ฝ่ายทหารเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ
A : คือ...ทหาร แบบนั้นมันก็เป็นหลักทางทหาร จะเล่าให้ฟัง...เมื่อปี 2520 ก็เกิดลักษณะแบบนี้ ตอนนั้นมี 3 โจร มีจีนคอมมิวนิสต์ด้วย ที่ผมลงไป สถานการณ์ก็แรงแบบนี้แหละ ทางรัฐบาลก็ตั้งพล.อ.เทียนชัย ศิริสัมพันธ์ (อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรมว.ศึกษาธิการ และอดีตหัวหน้าพรรคราษฎร) ตั้งกองอำนวยการรักษาความสงบชายแดนภาคใต้ขึ้นมา พล.อ.เทียนชัยไปเป็นผอ. แล้วทหาร ตำรวจ ผู้ว่าฯ ขึ้นกับกองอำนวยการนี้หมดเลย ผมไปเป็นผู้บังคับหน่วยทหาร มันต้องออกเป็นลักษณะ 1 Commander ถ้ามันเป็น 3 Commander แบบนี้มันก็ต่างคนต่างทำ อย่างผบ.ทบ.ลงไปเนี่ย คุณว่าเขาสั่งใครได้ ก็สั่งได้แต่ทหารใช่มั๊ย ผบ.ตร.ลงไปก็สั่งได้แต่ศปก.ตร. รมว.มหาดไทยลงไป สั่งได้ศอ.บต. เนี่ยงาน...ผมว่า “มันไม่ถูก”
Q : ถ้ามีการบอกว่ายุทธศาสตร์และสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้มันต่างจากอดีต การแก้ไขปัญหาย่อมมีการปรับเปลี่ยนไปด้วยหรือไม่
A : มันจะต่างจากอดีตไปไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าภาคใต้มันยืดเยื้อมานาน การปฏิบัติการ...เขาก็เป็นแบบเดิม ไม่มีอะไรพิเศษขึ้นมา เพียงแต่ว่าวันนี้เขาสามารถจัดกองกำลังได้ จัดอะไรก็ได้ตามเป้าที่เขาวางไว้เท่านั้นเอง
Q : สถานการณ์ที่ยืดเยื้อมาจนถึงวันนี้ กลุ่มแนวร่วมที่อยู่ในขบวนการก่อความไม่สงบมีมากขึ้นหรือน้อยลง เพราะรัฐบาลเองก็อ้างว่า สามารถจับกุมตัวผู้กระทำผิดได้มากขึ้น การก่อการน้อยลง แต่เหตุการณ์กลับยังเกิดขึ้นอยู่และรุนแรงมากขึ้น
A : อย่างที่ผมบอก เขาเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย เพราะว่าวันนี้มันมาบันไดขั้นที่ 7 ในการทำสงครามกองโจร เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องเพิ่มความรุนแรงขึ้นมา เพื่อให้เราไปเจรจากับเขา เพราะวันนี้ทางเจ้าหน้าที่ที่ไม่รู้เรื่อง พูดง่ายๆ...“ระดับสูง” คิดว่าการเจรจาจะเป็นทางที่ยุติได้ ก็ไปเจรจา มันก็จะเข้าทางเขา เพราะเขาพยายามเข้าโอไอซีมา 2 ครั้งแล้ว มันขาดข้อที่สาม เพราะฉะนั้นวันนี้ที่มันเกิดเหตุการณ์รุนแรงอะไร เขาต้องการให้เราไปเจรจากับเขา เจรจากับเขาปั๊บ...มันเข้าข้อที่สาม เขาก็เข้าเป็นสมาชิกโอไอซีได้ ทีนี้เราก็อยู่ลำบากละ
Q : รัฐบาลยอมรับเองว่า มีการไปเจรจาจริง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มที่ไม่ได้เข้าร่วมการเจรจาไม่พอใจ จนก่อเหตุสร้างสถานการณ์ครั้งล่าสุดเพื่อแสดงศักยภาพ
A : คืออย่างนี้ โจรก่อการร้ายภาคใต้มีหลายกลุ่ม เวลานี้กลุ่มที่กุมอำนาจจริงๆภาคใต้ คือ “บีอาร์เอ็น โคออดิเนต” แต่ที่ไปคุยเมื่อเร็วๆนี้ ไปคุยกับ “พูโลเก่า” จำได้มั๊ยเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ที่มีพล.อ.คนหนึ่ง (หมายถึงพล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร) เอาไอ้พวกนี้มาออกทีวี นั่นก็ตัวปลอม วันนั้นพอแถลงข่าวแบบนั้นมันก็ระเบิด 11 จุดในภาคใต้ ลักษณะแบบเดียวกัน คือเขาต้องการผลักดันให้เราเจรจากับเขา...คือเป้าหมายหลัก อันที่สองก็คล้ายๆว่าเขาชิงการนำในพวกเขาอยู่ เพราะมีหลายกลุ่ม พูโล...พูโลใหม่ แต่วันนี้ “บีอาร์เอ็น โคออดิเนต” เป็นตัวหลักอยู่
Q : รัฐบาลรู้หรือไม่ว่า “บีอาร์เอ็น โคออดิเดต” คือกลุ่มหลัก เหตุใดจึงไปเจรจากับอีกกลุ่มแทน
A : ผมก็ไม่เข้าใจเขาเหมือนกัน เพราะว่า “ข้อมูล” เขาได้มาอย่างไร...ผมไม่อยากจะพูด คือ “ข้อมูลเขา” กับ “ข้อมูลผม” มันคนละแบบ ผมอยู่ในพื้นที่ภาคใต้มาเยอะ วันนี้ลูกน้องผมก็ยังอยู่หมดในภาคใต้ เขาก็ส่งข้อมูลมาให้ผมอย่างนี้
Q : สถานการณ์ความรุนแรงที่กลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะการใช้คาร์บอมบ์ที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูง นอกจากต้องการสร้างเงื่อนไขเข้าสู่การเป็นสมาชิกโอไอซีแล้ว เป็นเพราะสาเหตุใด
A : ผมจะบอกให้นะ พวกตัวๆแกนหลักที่ทำการอยู่ภาคใต้ พวกนี้ไปอาสาสมัครรบที่อัฟกานิสถานมานะ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เขาเก่ง ลองไปเช็คดูเถอะมีเยอะเลย อาสาสมัครไปรบที่อัฟกานิสถานแล้วกลับมา ขบวนการนี้มันถึงเข้มแข็งขึ้นมา อาสาสมัครไปนามกลุ่มตาลีบัน อัฟกานิสถานก็รู้ว่า...พวกตาลีบันรบกับพวกอเมริกา นั่นแหละ พวกนี้สมัครไปเยอะ แล้วตอนนี้กลับเข้ามา
Q : เป็นการไปฝึกเอาประสบการณ์มาใช้ก่อเหตุในไทย
A : เขาไปรบจริงๆ อาสาสมัครรบเลย ร่วมกับทหารอัฟกานิสถาน กับตาลีบัน ร่วมรบแล้วตอนนี้เขากลับมาเยอะ ลองไปเช็คดู คุยกับพวกภาคใต้จะรู้
Q : การไปรบแบบนี้จะมีการโยงไปถึงการก่อการร้ายสากลเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่
A : ไม่ๆๆ ไม่มีต่างชาติเข้ามายุ่งเลย เรื่องนี้มันมีเป็นร้อยๆปีแล้ว กบฏแบ่งแยกดินแดน พูดง่ายๆสมัยรัชกาลที่ 6 มา เขาก็ตั้งเป็นขบวนการขึ้นมา
Q : ส่วนตัวมองสถานการณ์ดีขึ้นหรือไม่
A : ผมว่า “ครั้ง” (หมายถึง “ปริมาณการก่อเหตุ”) มันน้อยนะ แต่ความรุนแรงมันสูงขึ้น อย่างคราวหลังนี่เห็นมั๊ย มันบาดเจ็บล้มตายเป็นร้อย ตอนผมอยู่ที่นั่น 4-5 ปี แทบไม่มีเลยรู้มั๊ย ผมอยู่ตั้งแต่ปี 2520-2524 ตอนนั้นเหตุการณ์ก็แบบนี้ พอ 6 โมงเย็นก็ไม่มีรถวิ่งแล้ว ปัญหาที่ผมลงไปคือปัญหาที่เขื่อนบางลาง ที่บันนังสตา มันสร้างไม่ได้ เพราะโดนพวกโจร ทั้งระเบิด...ทั้งอะไร จนนายช่างหนีหมด ทางกองทัพก็สั่งให้ผมลงไป ผมถึงไปอยู่ที่นั่นถึง 5 ปี จนกระทั่งเขื่อนเสร็จ แล้วช่วงผมอยู่ 4-5 ปี ผมนับได้เลยว่า ทหารผมบาดเจ็บล้มตายมีไม่กี่คนจริงๆ ส่วนมากที่ตายเยอะก็โจร แล้วก็เงียบ...เงียบมาตลอดเลย จนกระทั่งมาปี 2547 ที่เราต้องถอนทหารออกมาแล้วให้ตำรวจเข้าแทน มันก็เลยลุกลามใหญ่โตมาจนทุกวันนี้
Q : วันนี้เป็นเพราะไม่มีกำลังทหารเพียงพอหรือไม่
A : ไม่ใช่ไม่มีทหารเพียงพอหรอก ให้ผมพูดมัน...ทหารก็เข้าไปเยอะนะ สมัยผมอยู่ทหาร ตำรวจ ผมมี 3 พันเท่านั้นเอง วันนี้ 3 หมื่น... 3 พัน ผมยังเอาอยู่ได้เลย คือพูดไปก็ขายกองทัพ ผมไม่อยากพูด ขายกองทัพ ขายน้องเขา
Q : ปัญหาเกิดจากการบริหารจัดการภายในกองทัพใช่หรือไม่
A : เอาอย่างนี้ดีกว่า ว่างๆนะ วันไหนลองลงไปสิ สักทุ่มนึง...น้องลองขับรถดูถนน จะเห็นว่ากลางถนนจะมีแต่กรวยวาง ไม่มีคนอยู่หรอก ทุกคนหนีเข้าบังเกอร์หมดพอค่ำ เขาก็มาตอนนั้นแหละ ตอนสมัยเกิด “กรือเซะ”...ปล้นปืน ผมลงไป บางที 2 ทุ่ม 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม ผมจะออกรถตระเวนไล่พวกนี้ มันจะหลบเข้าหมด กลางถนนมีแต่กรวย...โอกาสนี้โจรมันก็มันขนวัตถุระเบิด ขนรถคาร์บอมบ์เข้ามา ผู้บังคับบัญชาเขาไม่เข้มงวด ไม่กวดขัน ไม่อะไร เพราะฉะนั้นพอค่ำลง มันก็หลบเข้าบังเกอร์หมด
Q : สถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น มักมีการเชื่อมโยงไปถึงนักการเมืองในพื้นที่ที่ร่วมอยู่ในขบวนการ มีความเป็นได้มากน้อยเพียงใด
A : ผมไม่คิดว่าเป็นอย่างนั้นหรอก ต้องคิดว่าขบวนการนี้มันมีมาตั้งแต่...พูดง่ายๆคือปี 2310 พอเราเสียกรุงศรีอยุธยา รัฐปัตตานีแยกเป็นอิสระอยู่ 15 ปี พอมาสมัยรัชกาลที่ 1 พระองค์ก็ใช้กรมพระราชวังบวรฯยกทัพจากนี่ เดินทัพไป 3 เดือนไปปราบอยู่ 3 ปี จนเอาปัตตานีกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วมันก็เป็นอย่างนี้มาเรื่อย พอมาสมัยรัชกาลที่ 6 ท่านเลิกเจ้าเมืองปัตตานี ตั้งเป็นเทศาภิบาล เขาก็ไม่ยอมก่อการกบฏ ท่านก็ส่งกำลังไปปราบ เขาก็หนีไปประเทศเพื่อนบ้าน แล้วก็ตั้งขบวนการนี้ขึ้นมา ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ก็เรื่อยมาเรื่อย จนเห็นว่าวันไหนอำนาจรัฐเราอ่อนแอ ประเทศเรานั่นปั๊บ พวกนี้จะแข็งแรงขึ้นมา มาเป็นร้อยๆปีแล้ว มันไม่ใช่ว่าเพิ่งเป็น แต่ตอนนี้มองว่าเหตุการณ์ที่ระเบิดมันรุนแรง มันขึ้นมาถึงหาดใหญ่ ซึ่งมันไม่เคยมี
Q : การก่อเหตุที่หาดใหญ่ เป็นการส่งสัญญาณหรือไม่ว่า จะต้องมีการดูแลเมืองใหญ่ทั่วประเทศ
A : ไม่หรอกครับ ก็แค่นั้นครับ เขาต้องการแค่นั้น คืออย่างที่ผมบอก...พอเราส่งคนไปเจรจา เสร็จแล้วไปเจรจาผิดตัวด้วย คราวนี้ตัวที่เป็นตัวใหญ่จริงๆ ที่อยู่ใน “บีอาร์เอ็น โอคอดิเนต” แต่ที่ไปเจรจาไปเจรจากับ “พูโลเก่า” มันก็กดดันให้เราไปเจรจาเพื่อเข้าสู่ “โอไอซี” ให้ได้ ผมมองว่าอย่างนั้นนะ จะเห็นว่ามันมีอย่างนี้มาบ่อย อย่างที่ยกตัวอย่างว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ที่มีพล.อ.คนหนึ่งที่ไปเอาพวกนี้มา มันก็ระเบิด 11 จุดทั่วจังหวัดภาคใต้เลย นั่นแหละแบบเดียวกัน
Q : มีการกล่าวหาว่า ส่วนหนึ่งที่เหตุการณ์ยังไม่สงบ เป็นเพราะกองทัพ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับงบประมาณก้อนโตที่ได้รับในแต่ละปี
A : ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอกครับ ผมคิดแต่อย่างนี้ แนวความคิดผม...ว่า กองกำลังทหารที่ไป เอาจากต่างถิ่นไป เช่นเอาจากแถวภาคอีสานไป พวกนี้ก็ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณี เพราะฉะนั้นการทำงานก็ลำบาก ภาษาก็ไม่รู้ ถ้าเป็นแนวคิดของผม จะต้องใช้คนในภาคใต้ ทหารในภาคใต้ในการปราบปราม เพราะว่าเรื่องนี้สำคัญ คือลักษณะภูมิประเทศกับภาษา วัฒนธรรมประเพณี มันเป็นปัจจัยหนึ่งในการทำงานเกี่ยวกับการปราบปราม สมมติไปจากอุดรฯได้ข่าวระเบิดทุกวัน คนตายทุกวัน มันไปถึงปั๊บ เขาพูดภาษาอะไรมันก็ไม่รู้แล้ว ภูมิประเทศก็ไม่ชำนาญ พอจะชำนาญก็กลับละ เอาชุดใหม่ไปแล้ว ถ้าแนวคิดของผมจะใช้ทหารในภาคใต้
Q : มีการยกเหตุการณ์กรือเซะ ตากใบ ขึ้นมากล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้สถานการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น ต่อเนื่องเป็นลำดับมา พร้อมกับการระบุว่าตัวท่านเองและพ.ต.ท.ทักษิณคือสัญลักษณ์ของความรุนแรงใน ภาคใต้ มีความรู้สึกอย่างไร
A : กรณีกรือเซะ...เขาเป็นฝ่ายมาโจมตีผมนะ วันนั้นประมาณตี 5 วันที่ 28 เม.ย. 2545 เขาโจมตีผมทั่ว 3 จังหวัดใต้ 10 จุด ใช้กำลังไม่ต่ำกว่า 300 คน อาวุธพร้อม แล้ววันนั้นทั้งหมด 10 จุดเขาตาย 106 คน จับเป็นได้ 6 คน เราตาย 8 คน บาดเจ็บ 97 คน เฉพาะกรือเซะ...(คนของ)ผมตาย 3 คน สาหัส 8 คน (คนของ)เขาตาย 32 คน ผมตั้งข้อให้สังเกตอย่างนี้ว่า “ลักษณะกองโจร” ปกติเขาใช้คำว่า Hit & Run คือตีแล้วหนี วันนั้นตี 5 เขามาตีป้อมตำรวจที่กรือเซะ ฆ่านายดาบตำรวจตาย ตำรวจอีก 2 คนบาดเจ็บสาหัส เผาป้อม เผารถมอเตอร์ไซค์ ทำไมเขาไม่หนีเข้าป่าไปยึดกรือเซะทำไม แล้วในกรือเซะวันที่ผมยึดได้ มีข้าวมีน้ำจำนวนมาก ลองคิดดูสิทำไม แสดงว่าเขาต้องมีแผนอะไรอย่างหนึ่ง แผนของเขา...ผมบอกแล้วว่า ผมเป็นหัวหน้ากองโจรเก่า ผมรบในเวียดนามเหนือมาหลายปี เพราะฉะนั้นผมรู้ลักษณะกองโจร ทำไมเขายึด ไม่หนีเข้าป่า หนีไปก็จบแล้ว ตามหลักกองโจรทั่วไป Hit & Run ทำไม...???
ที่เขาทำแบบนั้นเพราะอะไร ผมอ่านออก แล้วก็สอบถามตรงกับที่ผมคิดไว้แต่แรก ผมถึงเข้ากวาดล้างก่อนมืด ถามไอ้ 6 คนที่จับได้ เขาบอกว่า...เขาสั่งไว้ว่าจะใช้กรือเซะเป็นกองกำลังบัญชาการก่อการจลาจลทั่ว ภาคใต้ เพราะฉะนั้นอีก 9 จุดที่ตีแล้วให้มารวมที่กรือเซะ เพราะฉะนั้นกรือเซะจะมีทั้งน้ำ 500-600 ขวด ข้าว 500-600 กล่อง เขาต้องการทำแบบนั้น แผนเขาง่ายๆอะไรรู้มั๊ย เขาดึงมวลชนเข้ามา คุณจะเห็นว่าตอนผมตัดสินใจ ประชาชนมาล้อมกรือเซะประมาณ 4-5 พันคนแล้ว แล้วผมอยู่ภาคใต้มา ผมรู้ปฏิกิริยาแบบนี้ “อะไรจะเกิดขึ้น” ผมไม่ใช่คนต่างถิ่นเข้าไป ผมอยู่ที่นั่นมานาน คือแผนเขา พอค่ำลง เขาพร้อม...ผมก็วิทยุไปหาแม่ทัพภาค 4 ขอกำลังมาคุ้มกันประชาชน คุณเชื่อมั๊ย...เขาให้ผมมา 20 คน มาคุ้มกันคน 4-5 พัน ให้มา 20 คน ผมถามว่าทำไมให้แค่นี้ เขาบอกวันนั้นมันตี 10 จุดไง กำลังกระจายหมดเลย ไปไหนไม่ได้เลย มันก็ได้มา 20 คน ของเก่าผมมี 30 คน ก็เป็น 50 คน รบพิเศษผมกับตำรวจ
คือแผนเขาเนี่ย เขาฮือเข้ามา เป็นคุณ คุณทำไง คุณก็ต้องยิงป้องกันตัวใช่มั๊ย เขาก็จะบาดเจ็บล้มตาย เขาก็จะเอาอันนี้เป็นจุดก่อจลาจล ว่าเรายิงประชาชนผู้บริสุทธิ์ คุณมองออกหรือยัง ผมถึงต้องตัดสินใจว่า ทำให้เสร็จก่อนค่ำ แล้วเรื่องนี้ญาติพี่น้องเขาไปฟ้องผมที่ศาลปัตตานี ผมไปขึ้นศาลปัตตานีมาแล้ว แต่เขาฟ้องผมข้อหาอะไรรู้มั๊ย เขาไม่ได้บอก “ผมฆ่าคนตาย” เขาบอกว่า “ผมทำเกินกว่าเหตุ” ใช้ระเบิดมือไป 8 ลูก ผมไปขึ้นศาลมา เขาตั้งทนายมา 5 คน แล้วญาติพี่น้องเขามาเต็มหมด พอไปถึงศาลเขาตั้งข้อหาผม คุณเคยดูหนังสงครามมั๊ย ผมก็ถามผู้พิพากษา...พอตั้งข้อหา ผมก็ถามผู้พิพากษา ท่านเคยดูหนังสงครามมั๊ยครับ ผู้พิพากษาพยักหน้าบอกเคยดู เพราะฉะนั้นเมื่อข้าศึกอยู่ในตึกอาคารที่แข็งแรง บังเกอร์ที่แข็งแรง อาวุธประจำกายเราเป็นอาวุธที่ยิงตรง ไม่สามารถทะลุทะลวงเข้าไปได้ เพราะฉะนั้นเขาต้องใช้ระเบิดมือกันทั้งนั้นแหละครับ มันเป็นหลักสากล กรือเซะหินแข็งปั๊กเลย มันเลยจำเป็นต้องใช้ระเบิดมือ อันนี้มันเป็นหลักสากล ทหารทั่วไป เป็นยุทธวิธีเลย ผมก็เล่าให้ผู้พิพากษาฟัง ผู้พิพากษาก็ยกฟ้อง ทนาย 5 คนมาขอโทษผม จับมือผม ญาติเขาก็ยกมือไหว้ เนี่ยมีแค่นี้เอง
Q : ยังมีการนำประเด็นนี้ขึ้นมาโจมตีอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ จะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร
A : เอาอย่างนี้...ภาคใต้คือพรรคประชาธิปัตย์ แล้วอีกอย่างแนวร่วมขบวนการโจรก่อการร้าย เขาไม่อยากให้ผมลงไป คุณลองไปถามคนภาคใต้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไปสิ ถามไม่มีใครไม่รู้จักผู้พันพัลลภ เนี่ยระเบิดที่เพิ่งเกิดขึ้น คนจากภาคใต้โทรขึ้นมาเจี๊ยวเลยว่าเมื่อไหร่ท่านจะลงไป
Q : คนภาคใต้ที่ยังเชื่อมั่น เพราะใช้วิธีการแข็งกร้าวใช่หรือไม่
A : ไม่ใช่แข็งกร้าว ผมใช้หลักตามยุทธวิธีของผมในการปราบปรามกองโจร คุณต้องยอมรับเสียก่อนว่า วันนี้ภาคใต้เป็นสงครามกองโจร เมื่อเป็นสงครามกองโจร มันก็มี 3 ขั้นตอนในการปราบ คุณจะชนะสงครามภาคใต้ได้ คุณต้องดึงประชาชนมาเป็นพวก ในเมื่อเขาถือปืนคุมหลังประชาชนอยู่ คุณไม่ทำลายเขา ไม่จับเขา คุณจะดึงประชาชนมาเป็นพวกได้ยังไง คุณชนะสงครามได้ยังไง แต่นั้นเองไม่มีอะไรเลย
Q : การที่เอาประชาชนมาเป็นพวกได้ เราต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในตัวเจ้าหน้าที่ให้ได้
A : อันนี้แน่นอน ต้องมีความเชื่อมั่น อย่างผม…ลงไปมีประชาชนเป็นหมื่นเลยมาคอยรับผม คุณเชื่อมั๊ย คน 3 จังหวัดภาคใต้ เป็นหมื่นมารอรับผม วันที่ระเบิด โทรกันมาแทบ...โทรศัพท์แทบไหม้ บอกเมื่อไหร่ท่านจะมา เมื่อไหร่ท่านจะลงมา
"ผมไม่เคยทำอะไรนอกกรอบ ผมไม่เคยลอบยิงคนโดยไม่มีเหตุผล เพราะผมต้องมั่นใจ 100% ผมถึงนั่น...อย่างที่ผมบอก คุณชนะสงครามได้ คุณต้องดึงประชาชนมาเป็นพวก วันนี้เขาถืออาวุธคุมประชาชนอยู่ คุณไม่ทำลายกองกำลังติดอาวุธเขา คุณจะดึงประชาชนมาเป็นพวกได้ยังไง คุณก็ไม่มีทางชนะสงคราม คุณก็เป็นฝ่ายตั้งรับ ตายทุกวัน บาดเจ็บทุกวันแบบนี้ ไปดูสิสถิติจากปี 2520 ผมอยู่ถึง 2524 ทหารผมบาดเจ็บล้มตายไม่ถึง 10 คนหรอก และประชาชนเอง เพราะผมออกทำงานชุดเล็กๆ อย่างที่บอกผมได้เปรียบ เพราะมันเป็นสงคามกองโจร และผมเป็นหัวหน้ากองโจรเก่า เพราะฉะนั้นรู้ยุทธวิธีหมด"
Q : ตอนนี้ก็รู้ว่าใครเป็นใครในขบวนการโจรก่อการร้าย
A : อ๋อ...รู้สิ ผมยังรู้เลยว่า ใครเป็นหัวหน้าบีอาร์เอ็น โคออดิเนต หัวหน้าใหญ่ ซึ่งเทียบเท่าผบ.ทบ.เนี่ยก็รู้อยู่ รู้กระทั่งตัวประธานเขา นายกรัฐมนตรีเขา ดร.ฟาเด ดิสเอสมัน มันมีในโอบีเราหมดแหละ
เหตุการณ์ล่าสุดอย่างที่บอก เขาต้องการผลักดัน ต้องการบังคับให้เราเจรจา พอเรามีทีท่าเปิดเผยไปว่า ส่งคนระดับสูงไปเจรจากับเขา แล้วไปเจรจาผิดตัวด้วย ไอ้คนที่เจรจาก็พูโลเก่า มันเลิกไปแล้วไอ้นั่น เวลานี้ตัวคุมพื้นที่อยู่คือ บีอาร์เอ็น โคออดิเนต ไม่ไปตัวนี้...เขาก็ต้องการแสดงให้เห็นว่าเฮ้ย...กลุ่มนี้นะเหนือ พยายามบีบให้เราเจรจา เพื่อเข้าโอไอซี มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น อย่างที่เล่าให้ฟังมีพล.อ.คนหนึ่งเอามาออกทีวี แล้วมันก็ระเบิด 11 จุดทั่วภาคใต้ แบบเดียวกัน เหตุการณ์แบบเดียวกันไม่มีต่าง pattern เดียวกันเลย
Q : แปลว่าตอนนี้แนวทางของรัฐบาลที่ยังใช้แก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด โดยเฉพาะเรื่องการเจรจา และการทำงานของทหาร
A : ไม่ใช่ฝ่ายทหาร มันเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง ไม่ใช่ทหาร ทหารเขารู้อยู่ ผบ.ทบ.เขาพูดอยู่ว่า การเจรจามันไม่ได้ ผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นการเจรจาไม่ใช่ทหาร (แต่คือ)ฝ่ายการเมือง
Q : วิธีการทำงานรัฐบาลควรทำอย่างไร
A : อย่างที่บอก 1.ต้องมีเอกภาพในการบังคับบัญชา ตอนนี้ไม่มีเอกภาพ 1 ยุทธภูมิ ต้องมี 1 Commander ไม่ใช่ 3 Commander คนลงไปต้องให้กระบอง ให้เขามีอำนาจ ไม่ใช่ฝ่ามือไปเฉยๆ มีกระบองมันถึงทำงานได้ ถ้าเป็นแบบนี้มันก็ไปคนละทางแล้ว ศอ.บต.ก็พัฒนาไป ทหารก็ปราบไป มันก็ขัดกัน
Q : การเจรจาถ้าทำแบบเงียบๆ จะดีกว่าหรือควรทำหรือไม่
A : ไม่มีการเจรจาอะไรเงียบหรอกครับ คุณคุยเกิน 2 คน มันก็ไม่เป็นความลับแล้ว คุณจะรู้เหรอไปเจรจากับเขา เขาอัดเทปไว้ แอบถ่ายรูปไว้ ถ้าเขาต้องการเอาเงื่อนไข “ข้อที่สาม” เข้าเป็นสมาชิกโอไอซี เขาเข้าเป็นได้ก็จบ...ภาคใต้เนี่ย รัฐบาลจะไปคุยทำไมเสียเวลา ไปสร้างให้เป็นเงื่อนไขทำไม...มันไม่ใช่ คือเขา(รัฐบาล)ทำแบบไม่รู้ไง ผบ.ทบ.พูดชัด แต่ท่านใช้คำว่า “ผิดกฎหมาย” แต่ผมที่ศึกษามามันเป็นอย่างนี้ มันจะให้เรายอมรับว่าขบวนการนี้เป็นขบวนการที่ถูกต้อง เสร็จแล้วก็เข้าโอไอซี เอา 57 ประเทศมาบีบเรา คุณก็จบ...ภาคใต้
นายกระจอกข่าวรายงาน
|
|
นิทานเรื่องยายผู้ไม่ยินดีในวิมาน
มีนิทานเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของยายคนหนึ่งแกท ำบุญสร้างโบสถ์ วิหาร สร้างวัด ให้ทานแก่บุคคล ถวายเครื่องอุปโภค บริโภคแด่พระสงฆ์จำนวนมาก มีครั้งหนึ่งเทวดาท่านดลบัน ดาลให้ยายได้เห็นวิมาน อาหารที่เป็นทิพย์ พร้อมทั้งบริวารที่รอยายอยู ่บนสวรรค์ และบอกกับยายว่านี่คือวิมาน ของยาย นี่คืออาหารของยาย นี่คือบริวารของยาย
เมื่อ ยายตายจากโลกมนุษย์แล้ว วิมานนี้ อาหารนี้ พร้อมทั้งบริวารเหล่านี้จะเ ป็นของยาย ด้วยหวังจะให้ยายยินดี แต่ยายกลับไม่ได้รู้สึกยินด ีกับวิมาน อาหาร พร้อมทั้งบริวารเหล่านั้นเล ย
เพราะยายเข้าใจในพระธรรม รู้ซึ้งในพระธรรมของพระพุทธ เจ้าเป็นอย่างดี ยายเห็นความ “ไม่เที่ยง” ยายเห็นว่าแม้แต่พรหมชั้นสู งสุดที่มีอายุยาวนานถึง ๘๔,๐๐๐ มหากัป
พระพุทธเจ้าท่านก็เรียกว่า “ท่านผู้มีอายุ” คือ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ต่อไป เมื่อหมดอายุก็ต้องจุติ (ดับ, ตาย) จากภพนั้นและมีกำเนิดในภพอื ่นต่อไป ยายเห็นว่าความสุขนั้นเป็น “วิปรินามธรรม ที่สามารถแปรเปลี่ยนกลับเป็ นทุกข์ได้” ยายรู้ดีว่าบุญที่ยายทำนั้น จะเป็นเครื่องนำไปสู่สุคติส วรรค์ และยายอาจจะได้เสวยสุขอยู่บ นสวรรค์ชั่วอายุหนึ่ง อาจจะสัก ๒๕๐๐ ปี แต่เมื่อหมดอายุจากภพนั้นแล ้ว |
ยายกลัวว่ายายอาจจะได้มาเกิ ดเป็นมนุษย์ในสมัยกลียุค เป็นยุคที่โลกมนุษย์มีแต่คว ามทุกข์ยากลำบาก เป็นยุคที่ไม่มีธรรมะของพระ พุทธเจ้าอยู่แล้ว เป็นยุคที่พุทธศาสนาครบ ๕๐๐๐ ปีแล้ว
ศาสนาพุทธเสื่อมไปแล้วตามที ่พระพุทธเจ้าท่านทรงพยากรณ์ ไว้ ยายกลัวว่าจะประสบกับความทุ กข์ในช่วงสมัยนั้น กลัวว่าจะไม่ได้พบกับสัจจธร รมในช่วงสมัยนั้น ยายจึงไม่รู้สึกยินดีในวิมา น อาหาร พร้อมทั้งบริวารเหล่านั้น
เมื่อเห็นในทุกข์อันเกิดจาก ภพ ยายจึงไม่ปรารถนาในภพ ยายปรารถนาที่จะออกจากภพ จึงเพียรศึกษาพระธรรม เพียรปฏิบัติตามองค์มรรควิธ ี เพื่อให้ถึงซึ่งความดับแห่ง ภพ เวลาที่ยายทำบุญบริจาคทาน ยายก็ไม่ปรารถนาในภพ ไม่ปรารถนาว่าจะได้ไปสู่วิม าน อาหาร พร้อมทั้งบริวารในภพใดๆ เพราะยายรู้ดีว่านั่นคือ “ภวตัณหา” (ยินดีติดใจในภพ) ยายทำบุญบริจาคทานก็เพราะยา ยเพียรพยายามที่จะทำให้โลภะ เบาบางลง
ยายรู้ว่าการทำบุญบริจาคทาน เพื่อที่จะขจัดโลภะนี้คือกุ ศลที่มีอานิสงส์มากกว่า บุญ ไม่ใช่เป็นแค่บุญ เพราะการทำบุญอย่างเดียวไม่ อาจทำให้ยายหลุดพ้นได้ แต่กุศลคือสิ่งที่ทำให้ยาย คิด พูด และกระทำสิ่งใดๆ อย่างฉลาด รู้เท่าทัน โลภะ โทสะ โมหะ ต่างหากจะทำให้ยายหลุดพ้นได ้
นอกจากนี้ ยายยังได้เพียรเจริญเมตตาธร รมก็เพื่อที่จะทำให้โทสะเบา บางลง เพื่อขจัดโทสะให้สิ้นไป ยายเพียรทำจิตให้ผ่องใสควรแ ก่งาน เพื่อน้อมไปสู่วิชชา ๓ เพื่อความสิ้นอาสวะ เพื่อละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ให้ได้ (เครื่องร้อยรัดสัตว์ ๑๐ อย่างให้วนเวียนอยู่ในวัฏฏะ )
“เพื่อ บรรลุโสดาบันในชาตินี้ ซึ่งจะไม่มีความเสื่อมลงได้ อีก เพื่อบรรลุสกทาคามีในชาตินี ้ ซึ่งจะกลับมาเกิดในโลกนี้อี กเพียงครั้งเดียวก็จะสำเร็จ เป็นพระอรหันต์ เพื่อบรรลุอนาคามีในชาตินี้ ซึ่งจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ในสวรรค์ชั้นพรหมสุทธาวาส ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก เพื่อบรรลุอรหันต์นิพพานในช าตินี้”
เพราะจุดมุ่งหมายของยาย คือปรมัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์อย่างยิ่ง คือ นิพพาน
ยายเพียรทำอยู่อย่างนี้โดยท ี่ยายไม่ได้คำนึงถึง ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในปัจจุบัน และ สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์ในภายหน้าเลย “เพราะยายรู้ดีว่า ประโยชน์สองอย่างนี้ยายจะพึ งมีพึงได้อยู่แล้วจากการกระ ทำที่ดีเป็นบุญเป็น กุศลในปัจจุบันของยาย โดยไม่จำเป็นต้องเพ่งเล็งขว นขวาย นี่คือจุดมุ่งหมายของยายผู้ ไม่ยินดีในวิมาน อาหาร พร้อมทั้งบริวาร ในสุคติภพใดๆ” และยายได้กล่าวภาษิตฝากถึงผ ู้ที่ยังปรารภนาในประโยชน์ว ่า
“ผู้ไม่เห็นในทุกข์ ย่อมไม่ปรารถนาที่จะออกจากท ุกข์
ผู้ไม่เห็นในคุณของพระนิพพา น ย่อมไม่ปรารถนาปรมัตถประโยช น์
ผู้ไม่เห็นในปรมัตถประโยชน์ ย่อมไม่ปรารภความเพียร”
|
|
|
วันนี้ คุณดื่มน้ำ เพียงพอหรือยัง
|
-
เราควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร โดย 20% ของน้ำที่ได้รับในแต่ละวันมาจากอาหารที่กิน ส่วนอีก 80% ได้จากการดื่มน้ำ
-
ผู้ที่เดินทางโดยเครื่องบินระยะยาว ควรดื่มน้ำให้มากและบ่อยขึ้นแม้จะไม่หิวน้ำ เช่น ดื่มน้ำเปล่า น้ำผลไม้ นม หรือเครื่องดื่ม
ที่ไม่มีคาเฟอีน 1-2 แก้ว ทุกๆ ชั่วโมงที่อยู่บนเครื่องบิน เพราะสภาวะความชื้นในอากาศต่ำยิ่งทำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้ง่าย และจะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียจากการเดินทางด้วยเครื่องบินเป็นเวลานาน (jet lag) กำเริบมากขึ้น
-
คนที่ออกกำลังอย่างหนัก ต้องการน้ำถึงวันละ 3 ลิตรเป็นอย่างน้อย โดยควรดื่มน้ำ 2-3 แก้ว ก่อนการออกกำลังกาย และดื่มเพิ่ม 1-2 แก้วทุกๆ 20 นาที ระหว่างการออกกำลัง และควรดื่มเกลือแร่ทดแทนด้วย
-
น้ำยังช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกาย ลดอาการ heat stress ที่เกิดจากความร้อนในร่างกายสูงจากการออกกำลังอย่างหนัก จากภาวะอากาศร้อนจัดหรือได้รับสารบางอย่าง เช่น แอลกอฮอล์ คาเฟอีน ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ยาแก้แพ้บางชนิด จึงควรดื่มน้ำให้มากขึ้นกว่าปกติแม้ ยังไม่หิวน้ำ ครั้งละ 1 แก้วเป็นอย่างน้อย ทุกชั่วโมง
|
|
ประโยชน์ของน้ำยังช่วยให้ร่างกายนำไขมันที่เก็บสะสมไว้ไปใช้งานได้ดียิ่งขึ้นทำ
ให้ไตขับ
ของเสียออกจากร่างกาย ได้ดี ตับสามารถทำหน้าที่เปลี่ยนไขมันมาเป็นพลังงานเพื่อใช้ในร่างกายได้อย่างเต็ม
ประสิทธิภาพ จึงเท่ากับว่าน้ำช่วยควบคุมน้ำหนักและรักษารูปร่างได้อีกด้วย
น้ำที่ควรดื่ม ควร เป็นน้ำธรรมดาไม่เป็นน้ำที่ร้อนมากหรือที่เย็นจัด แต่ถ้าเป็นน้ำอุ่นๆ
เล็กน้อย ก็ควรดื่มในตอนเช้าเพราะจะให้การขับถ่ายของคุณ ดีขึ้น ลำไส้สะอาด หากไม่เชื่อลองทำดูสิครับ
ระยะเวลาที่ดื่มน้ำ ใน 1 วัน อาจจะเปลี่ยนแปลงตารางให้เหมาะกับคุณเอง แต่ไม่ควรเปลี่ยนมากนะครับ เพราะอาจจะทำให้ตัวคุณเองสับสน
ตื่นนอนตอนเช้า ดื่มน้ำ 1 แก้ว
ตอนสาย ดื่มน้ำ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9.00 – 10.00 น)
ตอนบ่าย ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาณ 13.00 – 14.00 น)
ตอนเย็น ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาร 19.00 – 20.00 น)
ก่อนเข้านอน ดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะช่วยให้หลับสบายดีขึ้น รวมแล้วให้สามารถดื่มน้ำเปล่าได้วันละ 10 แก้ว นอกเหนือจากนั้น ท่านสามารถดื่มน้ำผลไม้, น้ำนม ฯลฯ ได้อีกไม่จำกัด
|
|
|
ข้อควรจำ
ไม่จำเป็นต้องดื่มครั้งละ 2 – 3 แก้วติดต่อกันทันที ดื่มตามปรกติสบายๆ ผู้ที่ทำตามครั้งแรก ๆ อาจรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย เป็นอาการปรกติธรรมดา
ทั้งนี้เพราะผนังลำไส้ และกระเพาะอาหารขยายตัวขึ้น หากทำติดต่อกันเป็นประจำก็จะไม่มีอาการอีก สามารถดื่มได้ง่ายและเกิดความเคยชิน สดชื่น สบายที่ได้ดื่มน้ำมากๆ ระยะแรก จะเกิดการปัสสาวะบ่อย ครั้งแรกๆ จะมีสีเหลืองข้นขุ่นกลิ่นฉุน เนื่องจากน้ำที่ดื่มไปชะล้างไตให้สะอาด ซึ่งไตเป็นเสมือนเครื่องกรองน้ำของร่างกาย
ขจัดสิ่งตกค้างให้ออกไป
อย่าดื่มน้ำมากก่อนหน้าที่จะรับประทานอาหาร ( ควรงดดื่มน้ำมากสักครึ่งชั่วโมงก่อนรับประทานอาหาร) และหลังจากรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ
ก็ไม่ควรดื่มน้ำมากๆ ทันที ในระหว่างการรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะการดื่มน้ำมากในระหว่างรับประทานอาหารจะทำให้น้ำย่อย
ในกระเพาะอาหารเจือจาง การย่อยเป็นไปได้ไม่ดี
การทานอาหารในแต่ละมื้อไม่ควร อิ่มจนแน่นท้องเกินไปควรให้อิ่มพอดีแล้วรับประทานผลไม้สดจะทำให้สะอาดคอ แล้วจิบน้ำตามนิดหน่อยท่านจะรู้สึกสบายท้องหลังจากนั้นสักครึ่งชั่วโมง จึงดื่มน้ำตามปรกติ
หากคุณผู้ชายคนไหน ลองทำตามเป็นประจำแล้วรู้สึกมีสุขภาพที่ดีขึ้น ร่างกายสดชื่น
กระปรี้กระเปร่าแข็งแรง ก็ทำต่อไปเรื่อยๆนะครับ เพื่อประโยชน์แก่ตัวของคุณเอง
|
|
เจาะลึกภัยพิบัติ ที่อาจอุบัติขึ้นในประเทศไทย
|
|
ผู้เขียน : นายมงคล กริชติทายาวุธ
นายมงคล กริชติทายาวุธ อดีต Senior Vice President บมจ.ธนาคารกรุงไทย ผู้อำนวยการหลักสูตรวิปัสสนากรรมฐาน เจ้าของเว็บไซต์ mongkoldham.com และ ที่ปรึกษาสมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย ฯลฯ เขียนบทความเรื่อง เจาะลึกภัยพิบัติ โดย 8 วิทยากร นำมาจากการสัมมนา เรื่อง เจาะลึกภัยพิบัติ.....พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด ที่ดำเนินการจัดโดยทีมงานผู้มีจิตอาสา จากเว็บไซต์พลังจิตดอทคอม มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2553
ซึ่งมีเนื้อหาที่น่าสนใจ และ ตรงกับวิกฤตการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ จึงขอนำเสนอแนวความคิดของนักวิชาการบางท่าน ดังนี้...
ดร.วัฒนา กันบัว ผอ.ศูนย์อุตุนิยมวิทยาทะเล สำนักตรวจและเฝ้าระวังสภาวะอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า ภัยพิบัตินั้น อาจเกิดได้หลายรูปแบบ เช่น พายุหมุนเขตร้อน หรือ พายุโซนร้อน ปกติจะพัดเข้าไทย ในภาคเหนือ ประมาณเดือนสิงหา-กันยา พัดเข้าภาคกลาง/อีสาน ประมาณเดือนตุลา-พฤศจิกา พัดเข้าภาคใต้ ประมาณเดือน พฤศจิกา-ธันวา พายุโซนร้อน เกิดที่ประเทศไทยมักเรียกว่า พายุไต้ฝุ่น คลื่นพายุซัดฝั่ง หรือ สตอร์มเซิร์จ ปกติจะมีน้ำท่วมบริเวณชายฝั่งก่อน จากนั้นจะเกิดคลื่นสูงใหญ่ซัดที่อยู่อาศัยที่อยู่ชายฝั่งอย่างรุนแรง แล้วดึงเอา ทรัพย์สินต่างๆพังทลายลงทะเลไป ความเร็วลมประมาณ 100 กม.ต่อ ชั่วโมง ก็เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง หรือ สตอร์มเซิร์จแล้ว พื้นที่ชายหาดแบบบางแสน และ พัทยา หากมี คลื่นพายุซัดฝั่ง หรือ สตอร์มเซิร์จแล้ว ย่อมเกิดความเสียหายมาก
คลื่นกระฉอก (Seiche) มีลักษณะคล้ายนำน้ำไปใส่ในอ่าง แล้วแกว่งไปมา จะเกิดสภาวะน้ำกระฉอก เคยเกิดขึ้นที่ชายทะเลแถวปัตตานี จะเกิดอย่างฉับพลัน และทำความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินที่อยู่บนชายฝั่ง แต่จะไม่มีน้ำท่วมนำก่อน ไม่เหมือนคลื่นพายุซัดฝั่ง หรือ สตอร์มเซิร์จ น้ำท่วมอาจเกิดได้จากมีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน มีน้ำป่า น้ำทะเลหนุน น้ำเหนือบ่าลงมา เขื่อน ทำนบ หรือฝายกั้นน้ำ พังทลาย และ/หรือ เกิดจากแผ่นดินไหวใต้ทะเล ทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ หรือ เกิดจากรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกใต้ดิน ทำให้เขื่อนแตก ซึ่งมีผลต่อเนื่องทำให้เกิดน้ำท่วมก็ได้
แทรกข้อแนะนำเพิ่ม : สำหรับสถานที่อยู่อาศัยที่อยู่ในจังหวัดแถบแถวที่สูง เช่น ทางภาคเหนือ หรือ ทางภาคอีสาน โปรดอย่าประมาท ไม่ว่า แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ อุบลราชธานี นครราชสีมา ฯลฯ ที่ใดก็ตาม หากสถานที่ปลูกสร้างบ้านพักอยู่อาศัยนั้น ถ้าไปปลูก หรือ ก่อสร้าง ในบริเวณที่ราบลุ่มหรือ ในบริเวณที่เป็นแอ่งกระทะ ของพื้นที่โดยรอบบริเวณนั้น แม้จังหวัดนั้น จะเป็นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 1,000 เมตร หรือ พื้นที่นั้นจะสูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงใดก็ตาม ท่านย่อมต้องยอมรับในชะตากรรมว่า เมื่อมีฝนตกหนักในพื้นที่บริเวณใกล้ที่ท่านอยู่อาศัย วัน 7 คืน ท่านต้องถูกน้ำท่วมแน่ๆ เพราะสถานที่อยู่อาศัยของท่านนั้น เป็นแอ่งรับน้ำนั่นเอง ท่านจะละเลยเพิกเฉยไม่ใส่ใจในการสร้างที่อยู่ หรือ ไปพักอาศัยในสถานที่ใดก็ตาม โดยไม่มองให้รอบทิศทาง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติไว้ล่วงหน้าไม่ได้
การหลีกเลี่ยง หรือไม่เผชิญกับภัยพิบัติต่างๆโดยตรง
1. เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับภัยพิบัติให้ได้
ที่สำคัญที่สุดนั้น ต้องรับฟังคำเตือนภัย และ ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอนที่เคยฝึกซ้อมมาในทันที มิใช่คอยดูจากทีวี ต้องเปลี่ยนจากการดู มาเป็นการฟังวิทยุใช้ถ่านแทน ทำกิจสำคัญเร่งด่วนไปพร้อมกับการรับฟังข่าวสาร ก็สามารรับฟังข่าวสารคำเตือนภัยพิบัติได้พร้อมกับการอพยพขนย้ายได้โดยตลอด
2. ต้องจัดลำดับขั้นตอนก่อนหลังไว้ล่วงหน้า การขนย้ายคน การขน
ย้ายทรัพย์สินสำคัญๆที่มีความจำเป็น และมีมูลค่าสูง ก็ต้องจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง เป็นต้น ต้องจัดระบบที่ไม่ขัดแย้งกัน
3. ต้องจัดให้มีระบบการกระจายคำเตือนการเกิดภัยพิบัติอย่างรวดเร็ว
เพื่อเตือนทุกคนภายในครอบครัว และ เพื่อนบ้านให้เร่งมือดำเนินการป้องกัน เพื่อลดความเสียหายลง
4. ต้องมีการลงมือก่อสร้างที่หลบภัยในพื้นที่ ภายในบ้าน และ ในหมู่บ้าน เมื่อเกิดภัยพิบัติจะได้ลดความเสียหายลงได้ และ
5. ต้องมีการซ้อมอพยพหนีภัยพิบัติอย่างจริงจังเป็นครั้งคราว
โดยเฉพาะในปัจจุบัน ปริมาณน้ำในทะเลสูงมากขึ้น ประชาชนอยู่กันแออัดมากขึ้น ฝนตกหนักมากขึ้น และ แผ่นดินทรุดตัวมากขึ้น มีการสร้างสิ่งกีดขวางทางระบายน้ำมากขึ้น น้ำจึงย่อมต้องท่วม
นอกจากนั้น สิ่งที่ ดร.วัฒนา กันบัว ผอ.ศูนย์อุตุนิยมวิทยาทะเล สำนักตรวจและเฝ้าระวังสภาวะอากาศฯ กังวลใจคือ ถ้ารอยเลื่อนสะแกง ในพม่าเกิดแผ่นดินไหวเพียงขนาด 8 ริคเตอร์เท่านั้น เขื่อนศรีนครินทร์ และ เขื่อนวชิราลงกรณ์ ที่กาญจนบุรี จะไม่สามารถทนอยู่ใน สภาพปัจจุบันแน่ บริเวณใต้เขื่อนจากกาญจนบุรีลงมา ถึงกรุงเทพฯและปริมณฑล ย่อมจมอยู่ในน้ำ ในปัจจุบันนี้ ตามข้อมูลทางธรณีวิทยา บริเวณรอยเลื่อนสะแกง เกิดแผ่นดินไหวประมาณปีละ 200 ครั้ง แต่แผ่นดินไหวในขนาด 5-6 ริคเตอร์เท่านั้นหากวันใดมีขนาดแผ่นดินไหวถึง 8 ริคเตอร์ ความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยจะมีจำนวนมหาศาลทีเดียว เพราะอาจส่งผลทำให้เขื่อนในจังหวัดกาญจนบุรีแตกได้
อนึ่ง ดร.วัฒนา กันบัว กล่าวว่า หากในทะเลใกล้ฟิลิปปินส์ มีการเกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเลขนาด ประมาณ 8.5 ริคเตอร์ ย่อมเกิดสึนามิ และ สึนามิจะเข้ามาทำลายล้างสิ่งปลูกสร้างชายฝั่งทะเลในประเทศไทย โดยคลื่นสึนามิจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 14-16 ชั่วโมง ก็จะมาถึงที่สมุย และ ภูเก็ต และต่อจากนั้นอีก 2 ชั่วโมง ก็จะมาถึงพัทยา หากคนไทยเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า ย่อมลดความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินได้ในปริมาณมาก
สำหรับแผนรับมือป้องกันปัญหาน้ำท่วมนั้น ดร.วัฒนาฯว่า เดิมนักวิชาการ เคยวางแผนรับมือในอนาคตได้ถึง 200 ปีล่วงหน้า แต่เวลาผ่านมาเพียง 15 ปี ปรากฏว่าถึงจุดตั้งรับ 200 ปีดังกล่าวแล้ว ดังนั้น คาดหมายได้ว่าภายใน 10 ปีข้างหน้า กทม. จะถูกน้ำท่วมแน่
สำหรับในช่วงเวลานี้ เรื่องการสร้างอ่างเก็บน้ำความจุ 500 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ ขุดแม่น้ำเจ้าพระยาสายใหม่ ที่ต้องใช้งบประมาณถึง 200,000ล้านบาทนั้น ดร.วัฒนาฯ กล่าวว่า ไม่มีรัฐบาลใดกล้าลงทุน ดังนั้น จึงเหลืออีก 3 กิจกรรม ที่รัฐบาลสามารถทำได้ โดยใช้งบประมาณไม่มากนัก แต่ รัฐบาลต้องลงมือทำในทันที มีอยู่ 3 เรื่อง คือ
1. สร้างคันกั้นน้ำที่แข็งแรง และ ถาวรในบริเวณทุกจุดสำคัญ ที่จะไม่ทำให้น้ำทะลักเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน อันเป็นเขตเศรษฐกิจ
2. สร้างที่พักน้ำ หรือ แก้มลิง ให้มากแห่ง ตั้งแต่ นครสวรรค์ สิงห์บุรี อ่างทอง ลงมาจนถึง สมุทรปราการ มีที่พักในช่วงน้ำทะเลหนุน และใช้ระบายน้ำลงทะเลในช่วง น้ำทะเลลดต่ำลง
3. ทำการขุดลอกคูคลองทุกแห่ง ในทุกจังหวัดที่มีความเสี่ยงในการถูกน้ำท่วม หรือ เคยถูกน้ำท่วมมาก่อน เพื่อขยายเส้นทางวิ่งของน้ำให้คล่องตัวมาก
|
|
|
ประเทศไทยกับศาลอาญาระหว่างประเทศ
ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทนำ
อนุสนธิจากการที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเพื่อไทยแถลงข่าวเกี่ยวกับการยื่นฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศกรณี 91 ศพ โดยในเนื้อข่าวได้ปรากฏมีเนื้อหาว่าจากประเทศไทยได้ให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรม พ.ศ. 2543 โดยคณะรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ. 2552 เรียบร้อยแล้วมีผลทำให้ประเทศไทยเป็นภาคีของศาลอาญาระหว่างประเทศเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเรื่องการฟ้องคดีต่อศาลอาญาระหว่างประเทศนั้นเป็นเรื่องสำคัญและเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อกฎหมายระหว่างประเทศ
โดยตรงจึงสมควรอธิบายทั้ง “ข้อเท็จจริง” และ “ข้อกฎหมาย” เพื่อมิให้สาธารณชนเข้าใจคลาดเคลื่อนดังต่อไปนี้
ประการแรก ประเทศไทยยังมิได้เป็นภาคีธรรมนูญก่อตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศหรือที่เรียกว่าธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วย
ศาลอาญาระหว่างประเทศ (The Rome Statute of the International Criminal Court: ICC) แต่อย่างใด ประเทศไทยได้
“ลงนาม” (Sign) อนุสัญญากรุงโรมเท่านั้นแต่ยังมิได้ให้ “สัตยาบัน” (Ratification) หรือให้ความยอมรับ หรือให้ความเห็นชอบ
แต่ประการใด ตามข้อบทของอนุสัญญากรุงโรมข้อที่ 126 ระบุว่า การมีผลบังคับใช้ของอนุสัญญาแก่รัฐนั้น รัฐสามารถแสดง
เจตนาเข้าผูกพันพันธกรณีของอนุสัญญาได้ด้วยการให้สัตยาบัน หรือให้ความยอมรับ หรือให้ความเห็นชอบหรือภาคยานุวัติ ดังนั้น ลำพังการลงนามเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญานี้แต่อย่างใด ข้อเท็จจริงในเรื่องการเป็นภาคีของประเทศไทยนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์หรือค้นหาไม่ยากเพราะสามารถตรวจสอบได้
จากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศหรือข้อมูลจากอินเตอร์เนต1
นอกจากนี้แล้ว การให้สัตยาบันแก่อนุสัญญากรุงโรมเป็นเรื่องสำคัญยิ่งจึงเป็นไปไม่ได้ที่สาธารณชนจะไม่ทราบและเท่า
ที่ทราบประเทศไทยติดขัดประเด็นสำคัญที่ละเอียดอ่อนอยู่ จึงยังมองไม่เห็นว่าการเข้าเป็นภาคีในเร็ววันนี้จะเป็นไปได้อย่างไร
มิพักต้องพูดถึงมาตรา 190 วรรคสองที่กำหนดว่า การเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาที่จะต้องตราพระราชบัญญัติอนุวัติการสนธิสัญญาดังกล่าว ฝ่ายบริหารจะต้องเสนอต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด อีกทั้งที่ผ่านมา
NGOs ของต่างประเทศอย่าง The Coalition for the International Criminal Court ได้เคยมีจดหมายลง
วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011) ไปยังนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อเรียกร้องให้ประเทศไทยเป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรม2 ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ประเทศไทยจะเป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศแล้ว
ประการที่สอง โดยหลักกฎหมายพื้นฐานของสนธิสัญญาเกี่ยวกับการมีผลผูกพันของรัฐภาคีในแง่ของเวลานั้นบัญญัติว่า
โดยหลักทั่วไปแล้ว หากมิได้ปรากฏเจตนาของรัฐภาคีเป็นอย่างอื่น การมีผลผูกพันของสนธิสัญญาจะไม่มีผลย้อนหลัง
(non-retroactivity of treaties) โดยข้อบทที่ 28 ของอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญากำหนดว่า
พันธกรณีของสนธิสัญญาจะไม่มีผลผูกพันรัฐภาคีหากว่า การกระทำใดๆหรือข้อเท็จจริงหรือสถานการณ์ได้เกิดขึ้น
และสิ้นสุดลงก่อนที่สนธิสัญญาจะเริ่มมีผลผูกพันต่อรัฐนั้น3 พูดง่าย ๆก็คือ หากเหตุการณ์ราชประสงค์เกิดขึ้น
และสิ้นสุดลงก่อนที่ไทยจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญากรุงโรม ไทยก็ไม่สามารถอ้างพันธกรณีตามอนุสัญญาได้ ในทางตรงกันข้าม ไทยจะเริ่มตกอยู่ภายใต้อนุสัญญานี้หลังจากที่อนุสัญญานี้เริ่มมีผลผูกพันกับประเทศไทยแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่ง ยิ่งนานวันเข้าเท่าใด วันที่อนุสัญญาเริ่มมีผลผูกพันประเทศไทย(หรือวันที่ไทยสามารถอ้างอนุสัญญาได้ในฐานะรัฐภาคี) ก็ยิ่งทอดนานเท่านั้น
นอกจากนี้ในข้อบทที่ 126 ของอนุสัญญากรุงโรมก็ระบุไว้ชัดเจนว่า “สำหรับรัฐแต่ละรัฐที่ให้สัตยาบัน….
ต่อธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศนี้ หลังจากการมอบสัตยาบันสารแล้ว….. ให้ธรรมนูญศาลอาญาระหว่าง
ประทศนี้มีผลใช้บังคับในวันแรกของเดือนถัดไปจากวันที่หกสิบหลังจากการยื่นสัตยาบันสาร…..” และ
ข้อที่ 11 บัญญัติว่า “ หากรัฐเข้าเป็นภาคีธรรมนูญศาลนี้ หลังจากที่ธรรมนูญนี้มีผลใช้บังคับ ศาลอาจใช้เขต
อำนาจของตนเฉพาะกับอาชญากรรมที่กระทำขึ้นหลังจากที่ธรรมนูญศาลนี้มีผลบังคับใช้สำหรับรัฐนั้น….
” จากข้อบทดังกล่าวที่ยกมาอ้างอิงนั้นแสดงให้เห็นชัดว่า รัฐจะเป็นสมาชิกศาลอาญาระหว่างประเทศได้ก็
ต่อเมื่อครบวันแรกของเดือนถัดจากวันที่หกสิบหลังจากที่ได้มอบสัตยาบันไปแล้ว พูดง่ายๆก็คือ ต่อให้มีการสัตยาบันธรรมนูญกรุงโรมวันนี้ ประเทศไทยก็ยังไม่มีสถานะเป็นสมาชิกศาลอาญาระหว่างประเทศอยู่ดี เพราะต้องพ้นระยะเวลาดังกล่าวไปก่อน
และต่อให้เป็นสมาชิกศาลอาญาระหว่างประเทศวันนี้ ศาลอาญาระหว่างประเทศก็ไม่มีเขตอำนาจอยู่ดี
เนื่องจากเหตุการณ์ปราบปรามผู้ชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต 91 ศพนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่ไทยจะเป็นสมาชิก
เพราะกรณีราชประสงค์นั้นเกิดขึ้นเมื่อพฤษภาคม พ.ศ. 2553
ประการที่สาม วัตถุประสงค์สำคัญที่ประชาคมระหว่างประเทศได้ก่อตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศขึ้นมานั้น มิได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อมาแทนที่ศาลภายในของรัฐสมาชิกแต่มีขึ้นเพื่อมาเสริมเขตอำนาจของศาลภายใน ซึ่งผู้ร่าง
อนุสัญญากรุงโรมเรียกว่า หลักการเสริมเขตอำนาจศาลภายใน (complementary)4 กล่าวคือ ศาลอาญาระหว่างประเทศจะมีเขตอำนาจพิจารณาคดีก็ต่อเมื่อศาลภายในของรัฐสมาชิกไม่สามารถที่จะฟ้อง
ร้องดำเนินคดี (Unable to prosecute) หรือไม่เต็มใจที่จะฟ้องร้องดำเนินคดี (Unwilling to prosecute)5
ที่จะดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาได้เท่านั้น พูดง่ายๆก็คือ ก่อนที่จะส่งเรื่องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณา
รัฐภาคีจะต้องให้เหตุผลอธิบายได้ว่า รัฐไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะดำเนินคดีอาญากับผู้ถูกกล่าวหาได้ด้วยเหตุใด
หากประเทศไทยไม่ได้ให้สัตยาบันจะมีหนทางใดหรือไม่ที่จะเสนอเรื่องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศได้ ?
คำถามข้างต้นเป็นประเด็นที่น่าสนใจและหลายคนคงอยากทราบ อนุสัญญากรุงโรมเองมิได้ปิดประตูตายเสียทีเดียว
สำหรับรัฐที่มิได้เป็นภาคี (Non-party) ที่จะเสนอเรื่องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณา โดยข้อบทที่ 12 (3)
ได้เปิดช่องให้รัฐที่มิได้เป็นภาคีอนุสัญญาสามารถทำ “คำประกาศ” (Declaration) ยอมรับอำนาจศาลได้
เฉพาะฐานความผิดที่เป็นปัญหาเท่านั้น6 โดยรัฐสามารถส่งมอบคำประกาศให้แก่นายทะเบียน เขตอำนาจของศาล
ตามมาตรา 12 (3) นี้มีลักษณะเป็น เฉพาะคดี (ad hoc)7 ไม่มีลักษณะถาวรเป็นการทั่วไป กล่าวคือ เป็นกรณีที่
รัฐประกาศยอมรับเขตอำนาจเฉพาะฐานความผิดใดความผิดหนึ่ง หรือเฉพาะเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลดังกล่าวมิได้มีผลทางกฎหมายที่จะให้อัยการสอบสวนสืบสวนโดยทันที8 อำนาจการสอบสวนเป็นดุลพินิจของอัยการและจะต้องผ่านการกลั่นกรองจากองค์คณะตุลาการพิจารณาเบื้องต้น (Pre-Trial Chamber) เสียก่อน
อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า การทำคำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลนี้ ในทางกฎหมายระหว่างประเทศถือว่าเป็น
“การกระทำฝ่ายเดียวของรัฐ” (Unilateral act of state)9 มิใช่เป็นการทำสนธิสัญญา ดังนั้น การทำคำประกาศดังกล่าวจึงไม่อยู่ในข่ายของมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญเนื่องจากมาตรา 190 เป็นเรื่องของการทำหนังสือสัญญา (หรือสนธิสัญญา)
ที่ผ่านมาในอดีตมีบางประเทศที่ใช้ช่องทางนี้เพื่อให้ศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณาคดี เช่น ประเทศไอวอรี่ โคส เป็นประเทศแรกที่ทำคำประกาศฝ่ายเดียวยอมรับเขตอำนาจศาล เมื่อปีค.ศ. 200310 หรือกรณีของปาเลสไตน์
รัฐบาลของปาเลสไตน์ที่เรียกว่า Palestinian National Authority (PNA) ได้ทำคำประกาศฝ่ายเดียวยอมรับเขต
อำนาจศาลเมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2009
อย่างไรก็ตาม การทำคำประกาศฝ่ายเดียวยอมรับเขตอำนาจศาลก็ยังสร้างปัญหาข้อกฎหมายสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ
คำประกาศฝ่ายเดียงดังกล่าวจะมีผลย้อนหลังหรือไม่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง รัฐจะทำคำประกาศฝ่ายเดียวยอมรับเขตอำนาจศาลให้พิจารณาฐานความผิดที่เกิดขึ้นก่อนที่รัฐจะทำคำประกาศฝ่ายเดียว
ได้หรือไม่ดังเช่นกรณีที่ปาเลสไตน์ได้ทำคำประกาศเมื่อปี ค.ศ. 2009 ให้ศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณา
ความผิดที่ได้กระทำขึ้นบนดินแดนของปาเลสไตน์ตั้งแต่ค.ศ. 2002 เป็นต้นมา ประเด็นนี้ยังคงเป็นประเด็นที่
นักกฎหมายถกเถียงกันอยู่11 โดยนักกฎหมายส่วนใหญ่เห็นว่า หากเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่เป็นความผิดต่อเนื่อง
ที่เรียกว่า continuing crime นั้น หากความผิดเกิดขึ้นก่อนที่รัฐจะทำคำประกาศแต่ความผิดดังกล่าวยังไม่สิ้นสุดลง
ยังคงดำเนินติดต่อกันมาเรื่อยจนกระทั้งถึงวันที่ทำคำประกาศนั้น นักกฎหมายเห็นว่า ศาลยังมีเขตอำนาจ แต่หากเป็นความผิดที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงไปแล้วก่อนที่รัฐจะทำคำประกาศยังเป็นประเด็นที่ขาดความชัดเจนแต่นักกฎหมายส่วนใหญ่เห็นว่า ศาลมีเขตอำนาจนับแต่วันที่ทำคำประกาศ
บทสรุป
ธรรมนูญกรุงโรมก่อตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศจะมีผลผูกพันกับรัฐภาคีเมื่อรัฐนั้นได้ให้สัตยาบันหรือรับรองหรือยอมรับ โดยจะมีผลบังคับกับรัฐดังกล่าวในวันแรกของเดือนถัดจากวันที่หกสิบหลังจากวันยื่นสัตยาบันสาร กล่าวอีกนัยหนึ่ง
ธรรมนูญกรุงโรมไม่มีผลใช้บังคับย้อนหลัง สำหรับสถานะของประเทศไทยในปัจจุบันยังมิได้เป็นสมาชิกแต่อย่างใด
เนื่องจากไทยเพียงแค่ “ลงนาม” เท่านั้นแต่ยังมิได้ให้ “สัตยาบัน” อย่างไรก็ดี ธรรมนูญกรุงโรมข้อที่ 12 (3) ก็เปิดช่องให้รัฐที่มิได้เป็นภาคีสามารถทำคำประกาศฝ่ายเดียวยอมรับเขตอำนาจศาลได้ซึ่งเขตอำนาจของศาลนั้นมีลักษณะเป็นเฉพาะคดี มิได้เป็นการยอมรับเขตอำนาจศาลเป็นการทั่วไป
|
|
|
ชีวิตที่ไม่ท้อ เด็กหญิงพิการลูกกำพร้า
โลกแห่งการเรียนรู้ที่ต้องอ าศัยการรับรู้ด้วยการมองเห็ นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สำหรับเด็กตาบอดอย่างนิภ า เธอมองเห็นโลกได้อย่างเดียว คือ ความมืดมิด ดังนั้นเส้นทางการศึกษาของเ ธอในโลกมืดนั้นจึงยากยิ่ง ต้องปรับตัว ต้องฝึกการใช้ชีวิต ฝึกการรับรู้ด้วยหนทางอื่นแ ทนตาที่มืดมิด เพื่อออกไปเรียนร่วมกับเพื่ อนในโลกแห่งการมองเห็นในทัน ทีที่มีความพร้อม
นิภาเป็นเด็กมีความมุ่งมั่น ในการเรียน จึงได้รับโอกาสทางการศึกษาจ ากมูลนิธิศุภนิมิตฯ เป็นแรงผลักดันให้เธอสามารถ ก้าวข้ามข้อจำกัดทางร่างกาย ประสบความสำเร็จในการเรียน มีความสุขในชีวิต
เด็กหญิงนิภา มีกลิ่น เป็นเด็กกำพร้าอีกคนที่มีคว ามเสี่ยงอาจไม่ได้เรียนหนัง สือ พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก หญิงยังเล็ก นิภา อยู่กับตายาย สูงอายุ โครงการเอดีพีลำปางได้รับไว ้ในโครงการเมื่อเธอเรียนชั้ นประถมปีที่ 1 ช่วยให้นิภามีโอกาสเรียนหนั งสือ เด็กหญิงป่วยเป็นเนื้องอกใน สมอง และดวงตาเป็นต้อ อาการป่วยทำให้ดวงตาข้างขวา บอดถาวร ดวงตาข้างซ้ายมองเห็นเลือนล าง โครงการฯ ได้ช่วยเหลือพาเด็กหญิงไปตร วจรักษาดวงตา ช่วยเหลือค่าอาหารและค่าเดิ นทางไปโรงพยาบาล ตลอดจนพันธุ์ปลาดุกเพื่อแบ่ งเบาภาระครอบครัว วันนี้นิภาได้เรียนหนังสืออ ย่างสนุก มีเพื่อนเล่นที่โรงเรียนและ ได้เล่นกีฬาเปตองที่ชื่นชอบ
เด็กหญิงมีหน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดู และไม่มีความผิดปกติใดๆ มาแต่แรกเกิด ครูประจำชั้นของเธอเล่าให้ฟ ังว่า เมื่อเรียนชั้นประถมปีที่ 3 เธอมักบ่นว่าปวดหัวบ่อยๆ จนบางครั้งอาเจียนออกมา ระยะหลังจะมองไม่เห็นตัวหนั งสือบนกระดานดำ จนต้องลุกเดินไปดูใกล้จึงมอ งเห็นตัวหนังสือของครูได้ถน ัด
"อุปสรรคของหนู คือการอ่าน ด้วยปัญหาทางสายตาที่ต้องเพ ่งอ่านหนังสือในระยะใกล้จนต าแทบติดหนังสือ คือห่างแค่เซนติเมตรเดียว ไม่งั้นจะมองไม่เห็น หนูจึงอ่านได้ช้าไม่ทันเพื่ อน" นิภา พูดขึ้น
หลังตรวจพบนิภาได้รับการผ่า ตัดเนื้องอกในสมอง รักษาความผิดปกติ มีอาการดีขึ้น แต่ดวงตาข้างขวาบอดถาวร ส่วนตาข้างซ้ายมองเห็นลางๆ ต้องใช้แว่นขยายพิเศษ จึงมองเห็นตัวหนังสือได้ โครงการฯ ได้ช่วยเหลือนิภาเป็นกรณีพิ เศษเพิ่มเติมจากที่ได้รับเค รื่องแบบชุดนักเรียน กระเป๋านักเรียน เครื่องกันหนาว ค่ารถไปโรงเรียน ค่าอาหารกลางวัน และกิจกรรมส่งเสรมวิชาการใน โรงเรียน ความช่วยเหลือพิเศษเป็นเรื่ องค่าอาหารและค่าเดินทางไปโ รงพยาบาลช่วงรักษาตัว นอกจากนี้ นิภายังได้รับพันธุ์ปลาดุกจ ำนวน 200 ตัวเลี้ยงไว้สำหรับเป็นอาหา รในครอบครัว เนื่องจากตายายไม่มีรายได้ อาศัยเก็บพืชผักในสวนเลี้ยง ชีพ
ปัจจุบันเด็กหญิงเรียนชั้นม ัธยมปีที่ 3 โรงเรียนแจ้ห่มวิทยา จังหวัดลำปาง สามารถเรียนหนังสือร่วมกับเ พื่อนนักเรียนในห้องอย่างสน ุกและมีความสุข "หนูชอบเรียนคณิตศาสตร์และว ิชาภาษาไทยคะ" นิภายังชอบเล่นกีฬาเปตองอีก ด้วย เมื่อกลับถึงบ้านช่วยยายทำค วามสะอาดบ้าน ทำอาหาร และให้อาหารปลาดุกที่เลี้ยง ไว้ในบ่อซีเมนต์ข้างบ้าน "ถึงมองไม่เห็น อาศัยความเคยชินคะ หนูทำทุกอย่างเอง ไม่อยากให้เป็นภาระของใคร"
นิภากล่าวติดตลกก่อนที่จะเอ ่ยคำพูดดีๆ เอาไว้อย่างน่าฟัง "ปัญหาจากสายตาเหล่านี้ ไม่คิดว่าเป็นอุปสรรคสำคัญใ นการดำเนินชีวิต สำคัญที่สุดอยู่ที่ความคิดข องตัวเอง ถ้าคนเราคิดว่าสิ่งนี้เป็นอ ุปสรรค มันก็เป็นอุปสรรควันยังค่ำ"
|
|
|
บ่มเพาะ 'เมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง' ด้วยน้ำใจจากท่าน
|
เด็กเปรียบเสมือน 'เมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง' ที่มีค่ายิ่ง หากได้รับการดูแลเอาใจใส่ และอยู่ในดินที่ดี เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ก็จะผลิดอกออกผลเป็นหลายเท่าตัว และเติบโตขึ้นเป็นรากฐานที่มั่นคงของชาติต่อไป แต่มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยพบว่า ในปีนี้มีเด็กจำนวนมากที่กำลังใช้ชีวิตอย่างยากลำบากท่ามกลางความยากไร้ขัดสนของครอบครัว และเรื่องน่าเศร้านี้ ก็กำลังเกิดขึ้นกับน้องหญิง หรือ ด.ญ.สุภาทิพย์ วัย 11 ปี จาก จ.จันทบุรี
ก่อนหน้านี้ครอบครัวของเธอเคยอยู่กันอย่างพร้อมหน้า แต่เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อพ่อต้องสูญเสียแขนขวาไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ แม่ก็ทิ้งเธอและน้องอีก 2 คนไปมีครอบครัวใหม่ เหลือเพียงพ่อที่เลี้ยงดูลูกๆ ด้วยความพิการจึงไม่มีใครจ้างไปทำงาน ได้แต่แบกกระสอบเก่าๆ เดินเก็บขยะขายแลกเงินมาประทังความหิวไปวันๆ
"วันไหนหาเงินไม่ได้ ลูกก็ต้องอด เห็นเขาร้องไห้เพราะหิว เราก็เจ็บ ผมตื่นมากลางดึกทีไรร้องไห้ทุกที แต่ไม่อยากให้ลูกเห็น...สงสารลูก คิดแต่จะทำอะไรก็ได้ให้มีข้าวกิน วันที่ลำบากที่สุดเคยต้องพาลูกไปขอข้าวเพื่อนบ้านมาประทังหิว มันหมดทางแล้วจริงๆ"
|
|
ลำพังเพียงหาข้าวกินสักมื้อยังเป็นเรื่องยาก แต่ครอบครัวของน้องหญิงก็ต้องเผชิญกับทุกข์ซ้ำ เมื่อบ้านที่เคยอยู่ถูกเจ้าของไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น ทำให้ไม่มีแม้แต่ที่จะนอน พ่อต้องพาเธอและน้องๆ ไปขออาศัยที่ของเพื่อนบ้าน ซึ่งมีเพียงตะเกียงน้ำมันเล็กๆ ให้แสงสว่าง และน้ำฝนที่รองเก็บไว้ในถังซึ่งเต็มไปด้วยลูกน้ำใช้ดื่มเพื่อดับความกระหาย ขณะที่เธอและน้องบี (น้องสาวคนรอง) เริ่มโตเป็นสาว แต่ยังต้องลงไปอาบน้ำในคลองที่ทั้งลึกและอันตรายเพราะไม่มีห้องน้ำใช้
ทุกวันนี้ หญิงและน้องๆ รับหน้าที่ซักผ้า ล้างจาน หุงข้าว และช่วยพ่อทำอาหาร วันเสาร์-อาทิตย์ก็จะออกไปช่วยพ่อเก็บขยะ ปีนี้เธอเรียนอยู่ชั้น ป.5 และฝันอยากเป็นครู ในขณะที่น้องบีที่เรียนอยู่ชั้น ป.4 ก็มีความฝันเช่นเดียวกับพี่สาว เธอบอกด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า "เทอมที่แล้วหนูสอบได้ที่ 2 แต่เทอมนี้ หนูจะสอบได้ที่ 1" ส่วนน้องบอล น้องชายคนเล็ก โตขึ้นอยากเป็นตำรวจ
แม้จะลำบากเพียงใด หรือรู้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งครอบครัวของเธอ อาจต้องออกจากที่ของเพื่อนบ้านและเด็กๆ อาจต้องออกจากโรงเรียนเพื่อเร่ร่อนหาที่อยู่ใหม่ แต่หัวใจของเธอก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังที่อยากเรียนให้สูงที่สุดเพื่อเป็นครูและสามารถดูแลครอบครัว "ถ้าวันพรุ่งนี้ไม่เหลือใคร...หนูขอเรียนให้จบแค่ชั้น ป.6 ก็ยังดี" น้องหญิงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและเศร้าสร้อย
|
ยังมีเด็กอีกกว่า 5,000 คนในพื้นที่การทำงานของมูลนิธิฯ ที่กำลังเผชิญชีวิตไม่ต่างจากครอบครัวของน้องหญิง เมล็ดพันธุ์เล็กๆ เหล่านี้กำลังต่อสู้ดิ้นรนด้วยความหวังเพื่อจะมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยกำลังที่ถดถอยลงไปทุกที
แต่โอกาสจากท่านสามารถเติมเต็มความหวังและช่วยให้เด็กเหล่านี้ได้รับการดูแลและเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์ได้ อีกทั้งครอบครัวของพวกเขายังได้รับการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพ รวมไปถึงชุมชนที่พวกเขาอาศัยจะสามารถยืนหยัดได้อย่างเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
|
|
โปรดตัดสินใจอุปการะเด็กสัก 1 คน วันนี้
การขอหักบัญชีธนาคาร ใช้ได้กับ ธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย และกรุงศรีอยุธยา เท่านั้น
เช็ค สั่งจ่าย มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย
ธนาณัติ ในนาม มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย สั่งจ่าย ปท.พระโขนง
โอนเงิน เข้าบัญชีออมทรัพย์ มูลนิธิศุุภนิมิตแห่งประเทศไทย (World Vision Foundation of Thailand) คลิกดาวน์โหลดแบบฟอร์ม
ธนาคารกรุงเทพ สาขาทองหล่อ เลขที่บัญชี 206-0-43600-9
ธนาคารกรุงไทย สาขาเอกมัย เลขที่บัญชี 053-1-10632-2
ธนาคารกสิกรไทย สาขาเอกมัย เลขที่บัญชี 059-2-40974-7
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเอกมัย เลขที่บัญชี 078-2-00965-5
ธนาคารทหารไทย สาขาเอกมัย เลขที่บัญชี 152-2-00300-1
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสุขุมวิท 63 เลขที่บัญชี 361-1-02033-3
ธนาคารยูโอบี สาขาทองหล่อ เลขที่บัญชี 101-2-07026-2
เมื่อโอนเงินแล้ว กรุณาแฟกซ์สำเนาใบโอนเงินพร้อมกับชื่อและเบอร์ติดต่อของท่านกลับมายังมูลนิธิฯ ที่ 0 2711 4100 ถึง 1
หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 2381 8863 ถึง 5
ทีมข่าวเยาวชน
|
|
|
จากดวงใจของเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ที่กำลังรอคอย...ด้วยความหวัง
|
เด็กๆ เปรียบดั่งเมล็ดพันธุ์เแห่งความหวังของชาติในอนาคต ซึ่งหากได้รับการดูแลเอาใจใส่รดน้ำ พรวนดิน และเติบโตในดินที่ดี เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ก็จะสามารถผลิดอกออกผลเป็นหลายเท่าตัว และจะเติบโตขึ้นเป็นรากฐานที่มั่นคงของชาติต่อไปในอนาคต
จากการดำเนินงานพัฒนาของมูลนิธิฯ ในปีนี้พบว่า ยังมีเด็กๆ อีกเป็นจำนวนมากที่กำลังใช้ชีวิตอย่างยากลำบากท่ามกลางความยากไร้ขัดสนของครอบครัว ซึ่งทางมูลนิธิฯ ต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน
มาร่วมกันหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังร่วมกัน
ปัจจุบันพบว่าจำนวนเด็กด้อยโอกาสทางการศึกษาเพิ่มสูงขึ้นถึงกว่า 3.2 ล้านคน และในจำนวนนี้กว่า 2.9 ล้านคน เป็นเด็กที่ยากจนและอยู่ในสภาวะยากลำบาก และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมทั้งต้องได้รับการพัฒนาที่ถูกต้องเหมาะสมกับวัย
|
|
เพื่อสนองต่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าว มูลนิธิศุภนิมิตฯ จึงรณรงค์จัดกิจกรรม 'เมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง" (Seed of Hope) เชิญชวนผู้มีจิตใจแห่งการแบ่งปันเข้าร่วมกิจกรรมกับทางมูลนิธิฯ เพื่อส่งมอบโอกาสและรอยยิ้มแห่งความสุขให้กับเด็กด้อยโอกาสที่กำลังรอคอยการช่วยเหลืออีกเป็นจำนวนมาก และด้วยประสบการณ์กว่า 37 ปีในการพัฒนาชุมชน ทำให้ทางมูลนิธิ ศุภนิมิตฯ พบว่า วิธีที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กๆ ไปสู่ความบริบูรณ์ได้ ก็คือการเปลี่ยนแปลงชุมชนให้มีความเข้ม แข็งและยั่งยืน ดังนั้น ด้วยการให้การอุปการะอย่างต่อเนื่องแก่เด็กๆ เหล่านี้ เพียงวันละ 17 บาท หรือเดือนละ 500 บาท โดย มูลนิธิศุภนิมิตฯ จะนำเงินที่ได้นี้ไปพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของเยาวชน ทั้งในด้านสุขอนามัย การศึกษา และการพัฒนาอาชีพ ครอบครัว เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป
จากใจครูถึงเยาวชนคนไทย
|
|
|
หมดเรี่ยวหมดแรง เหนื่อยใจแทบขาด แต่ศึกครั้งนี้แพ้ไม่ได้ เพราะมีชาวบ้านเป็นเดิมพัน
มหาอุทกภัย..! น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ทำให้คนไทยเกือบทั้งประเทศต้องเ ผชิญหน้ากับมวลน้ำมหึมา ที่ไหลผ่านและเคลื่อนตัวไปอย่าง ช้าๆ พร้อมกับทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที ่ขวางหน้าให้แตกหัก หรือพังทลายให้ราบคาบเป็นหน้ากอ ง และผลพวงจากภัยพิบัติที่กำลังปร ะสบอยู่นี้ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ..! ทำให้ชาวบ้านหลายต่อหลายคนถึงกั บหลั่งน้ำตาต่อความสูญเสียที่เก ิดขึ้น
ฉะนั้นบนความทุกข์ระทมของชาวบ้า น ที่กำลังถูกมหากาพย์แห่งน้ำเข้าถาโถมอยู่น ั้น ย่อมเห็นภาพความโศกเศร้าเสียใจข องชาวบ้านแทบไม่เว้นแต่ละวัน โดยลืมนึกถึง “ทหาร” ซึ่งเป็นบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่ต ้องเสียสละทั้งแรงกาย แรงใจ กระทั่งยอมห่างเหินทิ้งครอบครัว เอาไว้เบื้องหลัง เพื่อเข้ามาปลอบประโลมหยาดน้ำตา ที่กำลังหลั่งรินอยู่ในขณะนี้
เหล่าทหารที่มาช่วยน้ำท่วม ทั้งในส่วนปริมณฑล และกทม. ส่วนใหญ่จะเป็นคนจากต่างจังหวัด ประกอบกับบ้านของตัวเองประสบปัญ หาน้ำท่วมขังเช่นกัน แต่ไม่สามารถกลับไปช่วยเหลือครอ บครัว หรือช่วยอพยพขนย้ายข้าวของได้ เพราะต้องเสียสละความเป็นส่วนตั ว เพื่อมาทำหน้าที่ช่วยเหลือชาวบ้ านให้พ้นภัย โดยเฉพาะแนวรบด้านตะวันตกของ กทม. ซึ่งมีปริมาณน้ำจำนวนมากกำลังไห ลทะลักเข้ามา และทหารที่ทำหน้าที่ในบริเวณนี้ ส่วนใหญ่จะอยู่ในความรับผิดชอบข องกองทัพเรือ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ จ.อ.ศิริวัฒน์ ปราณีบุตร ผบ.ตอน ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี บอกว่า เป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์แล้ว ที่ได้นำกำลังทหารจำนวน 80 นาย จากกองทัพเรือ เข้ามาช่วยสร้างแนวกั้นน้ำท่วมใ นพื้นที่ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ซึ่งทหารทุกนายที่เดินทางมาถือว ่าได้ปฏิบัติหน้าที่กันอย่างสมเ กียรติ ทั้งๆ ที่บ้านของพวกเขาเหล่านั้นก็อยู ่ในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมด้วยเช่ นกัน แต่ไม่มีโอกาสจะกลับไปช่วย หรือดูแลครอบครัว
ภารกิจการสกัดกั้นมหากาพย์แห่งน ้ำในครั้งนี้ จุดประสงค์หลักก็เพื่อไม่ให้น้ำ หลากเข้าท่วมบ้านเรือนของราษฎร แต่บางครั้งก็เริ่มอ่อนแรงเช่นก ัน แต่ทหารทุกนายก็พยายามต่อสู้ และช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยดี
“ยอมรับว่า ทำเท่าไหร่ก็ไม่สามารถสู้กับปริ มาณน้ำ ที่ไหลทะลักเข้ามาอย่างต่อเนื่อ งได้ บางนายก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรงเหมื อนกัน ที่เห็นน้ำทะลักขึ้นมาสูงกว่าแน วกั้นน้ำ ที่เราช่วยกันทำไว้ แต่เมื่อเห็นชาวบ้านที่ได้รับคว ามเดือดร้อนจากน้ำท่วมก็ต้องฮึด สู้ขึ้นมา เพื่อช่วยพวกเขาเหล่านั้น เพราะเราเสมือนเป็นที่พึ่ง” ผบ.ตอน ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ กล่าว
ขณะที่ พลทหารพรชัย ศรีลาธรรม สังกัดศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เล่าว่า เป็นชาว จ.นครสวรรค์ ที่บ้านมีเพียงพ่อกับแม่อยู่ลำพ ัง 2 คนเท่านั้น บ้านประสบปัญหาน้ำท่วมเช่นกัน และถือว่าหนักกว่าที่ อ.พุทธมณฑล ก็ว่าได้ คือน้ำท่วมระดับสูงกว่าหลังคาบ้ าน ทราบข่าวจากพ่อแม่ว่า ได้อพยพข้าวของไปเช่าบ้านอยู่ใน บริเวณที่ไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้มีโอกาสเดินทางไปช่วยเหลื อ เพราะต้องทำหน้าที่ช่วยชาวบ้านใ ห้พ้นภัยพิบัติจากน้ำท่วม
“ยอมรับว่า หลายครั้งก็รู้สึกเหนื่อย และอ่อนล้าในการสู้กับน้ำที่ไหล มาเป็นจำนวนมาก คือลงแรงกั้นกระสอบทรายเท่าไหร่ ก็พังทลายลงมาอย่างต่อเนื่อง กั้นยังไงก็ไม่อยู่ เราทำงานกันตลอดวัน จนบางครั้งก็รู้สึกท้อ และไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้ต่อกันแล ้ว แต่เมื่อเหลือบไปเห็นชาวบ้านที่ เขากำลังเดือดร้อน หัวหน้าและเพื่อนๆ ทหารที่มาด้วยกันก็ต้องปลุกระดม ปลุกใจกัน ให้พวกเราลุกขึ้นมาสู้กันอีก เพราะคิดว่าชาวบ้านเขาก็เปรียบเ สมือนญาติพี่น้องของเรา เราเป็นทหารมีหน้าที่ต้องรับใช้ ประชาชน ยิ่งเห็นเขามีทุกข์ ถ้าเราถอดใจ แล้วใครจะเป็นที่พึ่งให้เขาได้”
ส่วนทางด้านแนวรบซีกตะวันออกของ กทม. โดยเฉพาะบริเวณนิคมอุตสาหกรรมลา ดกระบัง พบว่ามีทหารหลายหน่วยจาก “กองทัพบก” จำนวนหลายร้อยนาย ซึ่งเดินทางมาจาก จ.กาญจนบุรี ไม่ว่าจะเป็นกองพลทหารช่างกองทั พบก, กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี และทหารม้าสระบุรี ได้เข้ามาช่วยสนับสนุนสร้างแนวป ้องกันน้ำรอบนิคม และเท่าที่สังเกตก็พบว่า ทหารเหล่ากลุ่มนี้ทำงานกันอย่าง แข็งขัน ท่ามกลางแสงแดดร้อนผ่าว แต่สีหน้าและแววตาบ่งบอกถึงความ เหนื่อยล้า
เจ้าหน้าที่ทหารยศนายสิบนายหนึ่ ง ระบายความรู้สึกให้ฟังว่า มาช่วยสร้างแนวป้องกันที่นิคมอุ ตสาหกรรมพร้อมเพื่อนทหารจากเมือ งกาญจนบุรีกว่า 10 วันแล้ว การปฏิบัติภารกิจครั้งนี้เหน็ดเ หนื่อย หมดแรง อ่อนล้าเหมือนกัน เพราะต้องทำงานหนัก ท่ามกลางแสงแดดตลอดทั้งวัน ถึงแม้ทหารอย่างพวกเราจะผ่านการ ฝึกความอดทน และความแข็งแกร่งของร่างกายก็ตา ม แต่การโหมงานหนัก เพื่อเร่งสร้างแนวป้องกันน้ำให้ แข็งแรง ทำให้ร่างกายรู้สึกไม่ตอบสนองเห มือนกัน แต่เราต้องทำต่อไปจนกว่าจะมีคำส ั่งจากผู้บังคับบัญชาให้หยุด เพราะนี่คือหน้าที่ทหารอย่างพวก เรา ที่ต้องช่วยชาวบ้าน
“ถามว่าพวกผมเหนื่อยมั้ย จะบอกว่าทหารไม่เหนื่อยไม่ได้ พวกผมเหนื่อย แต่ถอยไม่ได้ เพราะมันคือหน้าที่ที่ต้องช่วยช าวบ้าน ที่สำคัญการทำงานแบบนี้ถือว่าได ้ช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน ถึงแม้จะเหนื่อย แต่ก็ยังมีใจสู้ ส่วนสิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือ อยากให้ผู้บังคับบัญชาช่วยเสริม สร้างกำลังใจไปพร้อมๆ กันด้วย” ทหารยศนายสิบคนเดิมกล่าว
ครับ..! “ทหาร” นอกจากจะมีภาระหน้าที่ในการปกป้ องอธิปไตยของชาติแล้ว ทหารยังมีภารกิจช่วยเหลือประชาช นในศึกน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ด้วย ซึ่งนอกจากจะเข้ามาช่วยเสริมแนว คันกั้นน้ำแล้ว ยังมีภาระหน้าที่ในการช่วยเหลือ ผู้ประสบภัย และอื่นๆ อีกมากมาย หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า ทำหน้าที่กันตั้งแต่กรรมกรไปจนถ ึงพ่อครัว และนี่คือภาระหน้าที่อันสง่างาม ของผู้ที่ได้ชื่อว่า ผู้ทรงเกียรติ..! ที่แท้จริง
|
|
|
ประเทศไทยย้ายเพื่อป้องกันเ มืองหลวงของกรุงเทพฯและสนาม บินนานาชาติหลักจากน้ำท่วมเ ป็นนายกรัฐมนตรีชินวัตรกล่า วว่า Yingluck 10 จังหวัดยังคงอยู่ที่"ความเส ี่ยงที่สำคัญ"หลังจากที่ถูก น้ำท่วม
"ภัยพิบัตินี้ได้ทำให้เกิดก ารสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเป็นที่รุนแรงที่สุดในปร ะวัติศาสตร์ของประเทศไทย"Yi ngluck กล่าวในที่อยู่ที่โทรทัศน์แ ละวิทยุทั่วประเทศเมื่อวานน ี้ "เรากำลังทำงานในการแก้วิกฤ ติที่เกิดขึ้นและจะนำมาตรกา รระยะยาวเพื่อป้องกันไม่ให้ เกิดขึ้นอีกครั้ง."
เจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครกำ ลังวิ่งเพื่อขยายคลองและหนุ นอุปสรรคน้ำท่วมรอบเมือง 9.7 ล้านคนที่จะบันทึกทุนจากน้ำ ท่วมที่ตายฮับการผลิตในจังห วัดภาคกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
Yingluck กล่าวว่าภัยพิบัติที่มีผู้พ ลัดถิ่นกว่า 2 ล้านคนเป็นที่เลวร้ายที่สุด ในประวัติศาสตร์ของประเทศ
"รัฐบาลได้มีการป้องกันพื้น ที่เชิงกลยุทธ์และการเต้นขอ งหัวใจของเศรษฐกิจรวมทั้งอุ ตสาหกรรมและเขตธุรกิจเมืองห ลวงจังหวัด, กรุงเทพ, สนามบินสุวรรณภูมิและศูนย์อ พยพ"Yingluck กล่าวว่า
อย่างน้อย 297 คนถูกฆ่าตายตั้งแต่ลมมรสุมฝ นเริ่มเฆี่ยนประเทศไทยในปลา ยเดือนกรกฎาคมตามที่กรมป้อง กันและบรรเทาสาธารณภัย ฝนตกหนักที่คาดว่าในจังหวัด ภาคกลางและภาคตะวันออกและกร ุงเทพฯในวันนี้และวันพรุ่งน ี้ซึ่งเป็นหน่วยงานดังกล่าว
นิคมอุตสาหกรรม
Yingluck กล่าวว่าสถานการณ์จะยังคงอย ู่"ที่สำคัญ"ใน 10 ของ 26 จังหวัดยังคงได้รับผลกระทบจ ากน้ำท่วม Floodwaters มีล้นมือนิคมอุตสาหกรรมในจั งหวัดพระนครศรีอยุธยา 67 กิโลเมตร (42 ไมล์) เหนือของกรุงเทพฯ, หยุดการผลิตในโรงงานที่ดำเน ินการโดยผู้ผลิตญี่ปุ่นรวมท ั้งกล้อง Nikon คอร์ปและไพโอเนียร์คอร์ป
ค่าใช้จ่ายของภัยพิบัติที่อ าจสูงขึ้นไปเท่าที่เป็น 120,000,000,000 บาท ($ 3900000000) และบังคับให้ธนาคารกลางจะลด การคาดการณ์การเติบโตทางเศร ษฐกิจในปีนี้ผู้ว่าราชการปร ะสารไตรรัตน์วรกุล 14 ตุลาคมกล่าวว่า รวม 930 โรงงานทั่วประเทศได้รับความ เสียหายตามข้อมูลจากกระทรวง อุตสาหกรรม
"ผลกระทบน้ำท่วมเกี่ยวกับเศ รษฐกิจทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับ กระบวนการฟื้นฟูกิจการหลังจ ากนี้"ประสารกล่าวว่า "เราจำเป็นต้องติดตามสถานกา รณ์อย่างใกล้ชิด."
(...) สหรัฐ C - 130 เครื่องบินขนส่งแบกกระสอบทร ายนับพันและ 10 นาวิกโยธินที่ดินที่สนามบิน ดอนเมืองเมื่อวานนี้เพื่อสน ับสนุนความพยายามในการช่วยเ หลือที่สถานทูตสหรัฐโฆษกวอล เตอร์กล่าวว่า Braunohler
สหรัฐที่นำเสนอสอง helicopters เพื่อช่วยให้มีการบรรเทาทุก ข์พร้อมกับนาวิกโยธิน 10 และหลายพันกระสอบทราย, Sean Boonpracong โฆษกศูนย์บรรเทาน้ำท่วมกล่า วว่า ญี่ปุ่นและจีนทั้งที่นำเสนอ 30 ล้านบาทเขากล่าวว่า
|
|
|
วิกฤติการณ์น้ำท่วม หนนี้มีหลายแง่หลายมุมและหลากหลายอารมณ์ความรู้สึก สะท้อนออกมาผ่านโลกาภิวัตน์ของสื่อมวลชนมากมาย มีทั้งแง่มุมและความรู้สึกเชิงบวกและเชิงลบแต่แง่มุมสำหรับวิถียุติธรรม
ก็เป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้
ถือว่าเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งที่จะต้องมีแง่มุมของความยุติธรรมแทรกอยู่เสมอไม่เว้นแม้แต่เรื่องของภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆซึ่งต้องมองให้ครอบคลุมทุกเรื่อง
ตั้งแต่การบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่ตามธรรมชาติให้ทุกคนได้มีกินมีใช้อย่างเต็มที่ หรือแม้แต่การเตรียมการเพื่อป้องกันน้ำท่วมเมื่อมีน้ำมากเกินไปหรือป้องกันการ
ขาดแคลนน้ำเมื่อน้ำไม่พอกินพอใช้ และสุดท้ายต้องรวมไปถึงการแก้ไขเยียวยาเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น การมีโอกาสให้ชาวบ้านได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำทั้งในระบบชลประทานเพื่อการเกษตรหรือเพื่อการกินการใช้ในระดับชาวบ้าน รวมทั้งสถานการณ์ของน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำอย่างเป็นระบบและเข้าใจได้อย่างง่ายๆ เป็นสิทธิพื้นๆ ของชาวบ้านที่ควรได้รับการเหลียวมองและถือว่าเป็นวิถียุติธรรมที่ต้องไม่มองข้าม น้ำท่วม 2554 ซับน้ำตาด้วยน้ำใจ ข่าวน้ำท่วม สถานการณ์น้ำท่วม 2554 ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานที่ชาวไทยนับล้านชีวิตกำลังเผชิญกับความยากลำบาก จากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งรุนแรง เราได้เห็น "ธารน้ำใจ" ไหล หลั่งสู่พี่น้องประชาชนจากทั่วทุกสารทิศ มิแพ้ความแรงของสายน้ำที่ปะทะถาโถมเข้าสู่สิ่งกีดขวางตรงหน้า และเป็นภาพแห่งความน่าชื่นชมที่สร้างความอิ่มเอมใจให้ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่าง ยิ่ง เพราะสองแรงแข็งขันของทุกหน่วยงาน ร่วมไม้ร่วมมือกันช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ แม้ว่าพวกเขาจะเหน็ดเหนื่อย แต่การทำงานก็ยังคงไม่หยุดหย่อน เพราะรู้ดีว่า อีกหลายพันหลายหมื่นชีวิตกำลังรอคอยความช่วยเหลืออยู่
ในเวลาเดียวกัน คนจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยบรรจุถุงยังชีพ หรือลงพื้นที่ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ ก็ได้ร่วมกันบริจาคทรัพย์ อาหาร ข้าวของเครื่องใช้จำเป็น ผ่านหน่วยงานต่าง ๆ ที่จะลำเลียงไปส่งถึงผู้ประสบภัย รวมทั้งหลาย ๆ คน ก็เลือกใช้การส่ง SMS ฝากความห่วงใยไปถึงพี่น้องร่วมชาติผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ พร้อม ๆ กับการส่งกำลังใจผ่านโลกออนไลน์ ที่ขอให้ทุกคนมี "สติ" และฝ่าฝันมรสุมครั้งเลวร้ายของชีวิตไปให้จงได้ ..
นับเป็นโชคชะตาของคนไทยที่ได้ประสพภัยพิบัติครั้งนี้อย่างใหญ่หลวง เกือบทั่วทุกจังหวัดจากข่าวสารตามหน้าสื่อต่างๆ ที่เราทุกคนได้รับรู้ ถึงความเดือดร้อนของชาว
บ้านที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งนี้อย่างมากมายที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินและชีวิตไปกับกระแสน้ำ แต่ไม่เท่าความรู้สึกของคนไทยที่ต้องเห็นพี่น้องของเรา
ต้องทนทุกข์ ลำบากยากเข็นกับความเป็นอยู่ที่ไม่สะดวกบายทั้งที่กินและที่นอน แต่ก็ยังมีคนไทยหลากหลายกลุ่มทั้งภาครัฐภาคเอกชน มูนิธิต่างๆ ได้เข้าช่วยเหลือพี่น้อง
ของเราที่ได้รับความเดือดร้อนครั้งนี้ ไม่ว่าภาคไหนต่างระดมการช่วยเหลือไปยังพี่น้องของเราที่ประสพภัยครั้งนี้
ในเวลาเช่นนี้ ทำให้พวกเรานึกถึงบทเพลง "คนไทยไม่ทิ้งกัน" ที่ ขับร้องโดย ปาน ธนพร แวกประยูร ซึ่งเหมาะกับบรรยากาศในยามนี้ของ ประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะคำร้องที่ร้อยเรียงในเพลง "คนไทยไม่ทิ้งกัน" สะท้อนให้เห็นถึง "น้ำใจ" และ "จิตใจพื้นฐาน" ของคนไทยที่มีความ "รัก" ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้อย่างชัดเจน แม้ว่าเขาจะเป็น "ใครสักคน" ที่เราไม่รู้จัก แต่ทุกคนก็พร้อมจะซับน้ำตา และช่วยเหลือพวกเขาอย่างเต็มกำลัง
" อีกไม่นาน ความเจ็บปวดครั้งนี้จะผ่านไป ขอให้ผู้ประสบภัยทุกคน "อดทน" ลุกขึ้น "สู้" ใหม่อีกครั้ง และโปรดรับรู้ว่า การก้าวเดินครั้งใหม่นี้ จะมีคนไทยทุกคนคอยช่วยเหลือ และเป็นกำลังใจให้เสมอครับ "
จากน้ำใจทีมข่าวเยาวชนขอส่งใจให้กำลังใจทุกคนที่ประสพภัย
|
|
ข่าวเด็กและเยาวชน โดยพิราบขาวสื่อออนไลน์ ไร้พรมแดน |
|
ผู้ให้การสนับสนุนกิจกรรมเด็กและเยาวชน
|
|
|
ข่าวเยาวชนนำเสนอโดยเด็กและเยาวชน อายุ 10-18 ปี เพื่อนำเผยแพรู่่สูู่่สาธารณะ ให้กับเพื่อนๆเยาวชนรับข่าวสาร กิจกรรมต่าง และเป็นสื่อกลางระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ เป็นเวทีกิจกรรมการเรียนรู้การทำหน้าที่สื่อมวลชน การนำเสนอข่าว ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อให้เด็กและ้เยาวชน ตระหนักถึงหน้าที่ที่ดี ไม่เป็นภาระให้กับผู้็ปกครองและเป็นตัวอย่างที่ดีในสังคม รู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดกับตนเอง และสังคมรอบตัว |
|
ศูนย์เฝ้าระวัง ติดตามพฤติกรรมเด็กและเยาวชน ในการเล่นอินเตอร์เน็ต การโพสข้อความ และรูปภาพในไฮไฟว์ เฟตบุ๊ค และ sms ในทางไม่เหมาะสม
หรือ พบเด็กและเยาวชนถูกกระทำทารุน ใช้แรงงานผิดกฎหมาย หรือ ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสถานศึกษา หรือหน่วยงานต่างๆ
โปรดแจ้ง สำนักข่าวเด็กและเยาวชน โทร.สายด่วน 085-979-8473 หรือส่งอีเมล์ rtv1_mobilestation@hotmail.com |
|
คำขวัญวันเด็ก'สามัคคี มีความรู้คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี' |
ทีมข่าวเยาวชน |
ข่าวเยาวชนส่วนหนึ่งเป็นฝีมือของกลุ่มเยาวชน |
|
|
|
|
ข่าวภูมิภาคทั่วไทย อัพเดททุก 24 ชั่วโมง
โดยทีมข่าวมืออาชีพ มากประสพการณ์
|
|
ข่าวเฉียบคม ถูกต้อง รวดเร็ว ฉับไว ทันเหตุการณ์ โดยทีมข่าวสถานี อาร์ ทีวี วัน คลิกอ่านข่าวที่นี่ |
อ่านข่าวพิราบขาว 70 คลิกที่นี่ |
อ่านข่าวพิราบขาว 80 คลิกที่นี่ |
อ่านข่าวพิราบขาว 90 คลิกที่นี่ |
สอบถามเส้นทางได้ที่ Call Center 1586 โทร.02-354-6551 02-354-6668-76 ต่อ 2014 โทรสาร 02-664-5500 |
ประชาสัมพันธ์
CCTV ฟรี เพียงที่ทำงานมี Internet และเห็นสภาพจราจร
|
|
|
ขอเชิญผู้ใจบุญร่วมบริจาคอาหารสุนัข
(ในโครงการช่วยเหลือน้องหมาที่อดอยาก) คลิกชมเว็บที่นี่
หรือติดต่อที่ชมรมรักน้องหมา และสถานี RTV1ศูนย์ข่าวออนไลน์ (www.rtv1.net) เนื่องจากตอนนี้อาหารหมากำลังใกล้จะหมดแล้ว จึงขอวิงวอนผู้ใจบุญทุกท่านช่วยเหลือน้องหมาที่กำลังอดอยาก ท่านสามารถเยี่ยมชมบ้านน้องหมาได้ที่ บ้านรักธรรมชาติ เลขที่ 145 ม.10 บ้านซำโสม ตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี 25110 โทร. 081-254-1620
หรือติดต่อสถานี RTV1ศูนย์ข่าวออนไลน์ (www.rtv1.net)
โทร. 02-907-5425 มือถือโทร. 084-092-5068 e-mail : nong_mah@hotmail.co.th
|
|
|
ศูนย์เฝ้าระวัง ติดตามพฤติกรรมเด็กและเยาวชน ในการเล่นอินเตอร์เน็ต การโพสข้อความ และรูปภาพในไฮไฟว์ เฟตบุ๊ค และ sms ในทางไม่เหมาะสม
หรือ พบเด็กและเยาวชนถูกกระทำทารุน ใช้แรงงานผิดกฎหมาย หรือ ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสถานศึกษา หรือหน่วยงานต่างๆ
โปรดแจ้ง สำนักข่าวเด็กและเยาวชน โทร.สายด่วน 085-979-8473 หรือส่งอีเมล์ rtv1_mobilestation@hotmail.com |
|
กองบรรณาธิการและสำนักข่าวเด็กเยาวชน สถานี อาร์ ทีวี วัน ขอแสดงความขอบคุณมายังนักข่าว และช่างภาพ ทุกท่านที่ร่วมกันทำหน้าที่ดี ๆ
มีประโยชน์ต่อสังคม ในการเผยแพร่ข่าวสารสู่สาธารณะชนอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นว่าทุกท่านจะรักษาไว้ซึ่งคุณภาพของการนำเสนอข่าวสาร
และมิตรภาพในสื่อออนไลน์แห่งนี้ของเราต่อไป ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพทั้งหมดนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ RTV1.NET
ติดต่อ e-mail : rtv1_station_thailand@hotmail.com
@ copy 2007 by rtv1 |
|